top of page

✎อสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์

  • รูปภาพนักเขียน: Hathairat Traithip
    Hathairat Traithip
  • 2 มี.ค. 2561
  • ยาว 2 นาที

ในช่วงปี ค.ศ. 1968-1985 ที่เมืองฟลอเรนซ์ เมืองท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงของอิตาลี ได้เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองขึ้น ต่อมาฆาตกรในคดีดังกล่าวถูกเรียกขานว่า อสูรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ ฆาตกรโรคจิตรายนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวราวกับอสุรกายที่หลุดออกมาจากภาพยนตร์ แล้วฆ่าคนจำนวนมากถึง 16 ราย เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคู่หนุ่มสาว (รวมถึงคู่เกย์) ที่แสวงหาความเป็นส่วนตัวพลอดรักกันในรถที่จอดอยู่ที่เปลี่ยวห่างสายตาจากผู้คน และในขณะที่พวกเขากำลังพลอดรักกัน เจ้าอสุรสัตว์ตัวนี้ก็จะปรากฏตัวขึ้นแบบกะทันหัน มันยิงและจ้วงแทงจนเหยื่อเสียชีวิต 

บางรายถูกฆ่าในขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์ด้วยซ้ำ ผู้ชายตายคาที่ ส่วนเหยื่อที่เป็นผู้หญิงจะโดนฆ่าโหดกว่าฝ่ายชายหลายเท่า เหยื่อผู้หญิงบางรายโดนชำแหละตัดหน้าอกซ้ายและอวัยวะเพศของเธอเก็บเป็นที่ระลึกราวกับเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับมันอย่างไรอย่างนั้น มันฆ่าคนเป็นจำนวนมากนี้เพื่ออะไรกันแน่? ไม่มีใครให้คำตอบได้ นอกจากตัวฆาตกรเท่านั้น เรื่องราวของอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1968 ที่ซิกน่าทางตะวันตกของฟลอเรนซ์ เมื่อบาร์บารา ล็อกซี่ อายุ 32 ปี ได้ชักชวนอันโนนิโอ บิอังโก ชู้รักของเธอ อายุ 29 ปี ไปออกเดทข้างนอก แม้ว่านางบาร์บาราจะเป็นหญิงที่แต่งงานและมีลูกแล้วก็ตาม แต่เธอก็เป็นที่รู้จักกันทั่วเมืองว่าเป็นผู้หญิงเจ้าชู้ หลายใจ มักหาโอกาสไปข้างนอกเพื่อมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นเมื่อมีโอกาส ขนาดในวันนั้นเธอยังหอบนาตาลีโน่ ลูกชายอายุ 6 ขวบของเธอติดไปด้วยแบบไม่อายสายตาชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย


การออกเดทเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อถึงตอนเย็น ทั้งสามได้ออกจากโรงภาพยนตร์ อันโตนีโอก็ได้พาบาร์บาราและลูกชายขับรถกินลมชมวิวจนถึงค่ำ จนกระทั่งหยุดจอดรถทางเปลี่ยวใกล้สุสานที่ปลอดสายตาผู้คนแห่งหนึ่ง เพื่อต้องการพลอดรักกัน ในเวลานั้นเด็กชายนาตาลีโนกำลังนอนหลับสนิทอยู่เบาะหลังของรถแบบไม่เรื่องรู้ราว บาร์บาร่าตอบตกลงโดยไม่ลังเล หากแต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังมีสัมพันธ์สวาทกันอยู่นั้นเอง จู่ ๆ ก็มีร่างลึกลับโผล่ออกมาจากความมืด โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ ทั้งสิ้น มันชักปืนยิงทั้งคู่หลายนัดจนตายคาที่ ก่อนที่มันจะคว้าลูกชายของนางบาร์บาราออกไปจากรถวิ่งหายไปในเงามืด เวลาไม่นานนัก เกษตรกรท้องถิ่นคนหนึ่งที่บ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุถูกปลุกให้ตื่นเพราะได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้นมา และเมื่อเปิดประตูก็พบเด็กชายยืนน้ำตานองหน้าอยู่ด้านหน้าประตู พร้อมพูดว่า "แม่และลุงของผมกำลังจะตาย"


เด็กชายได้อธิบายเพิ่มเติมว่าระหว่างที่เขาหลับอยู่บนรถนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงปืนดัง จนเขาตื่นและพบว่ามีคนยิงแม่ของเขาและเพื่อนของแม่ ส่วนคนยิงเขาเห็นหน้าไม่ชัดเพราะมันมืดมาก เมื่อนักฆ่าเห็นเขาก็พาตัวไปไว้ที่บ้านหลังหนึ่งใกล้ที่เกิดเหตุและทิ้งเขาไว้โดยไม่ทำอันตรายแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อตำรวจได้รับแจ้งความจากเกษตรกร ก็มาถึงที่เกิดเหตุ และได้พบศพของคู่รักนอนตายอยู่ตรงเบาะหน้า นางบาร์บาราถูกยิง 3 นัด และอันโตนิโอถูกยิง 4 นัด จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนทองแดงวินเชสเตอร์หลายนัดที่ยิงจากปืน .22 บาร์เร็ตต้าซึ่งใช้เป็นอาวุธสังหารตกอยู่ ตอนแรกตำรวจคาดว่าคดีนี้จะเป็นคดีพิศวาสฆาตกรรม เพราะหญิงผู้ตายมีชื่อเสียงในเรื่องที่เป็นคนเจ้าชู้ น่าจะสร้างความอับอายต่อผู้เป็นสามีไม่มากไม่น้อย ทำให้นายสเตฟาโน่ เมเล่ ผู้ซึ่งเป็นสามีของนางบาร์บาร่า กลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของคดีนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้



สเตฟาโน่ เมเล่


เมื่อตำรวจไปหานายสเตฟาโน่นั้น ก็พบว่าเขากำลังเตรียมกระเป๋าเดินทางเหมือนกำลังจะออกจากบ้านท่าทางรีบร้อนพอดี จากการสอบปากคำสเตฟาโน่ในเวลาไม่นาน เขาก็รับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าภรรยาและชู้ ส่วนปืนอาวุธสังหารนั้นเขาโยนทิ้งคลองชลประทานเพื่อทำลายหลักฐาน ส่วนสาเหตุที่ทำเพราะทนอับอายในความเจ้าชู้ของภรรยาไม่ไหว จากคำรับสารภาพทำให้สเตฟาโน่ถูกตัดสินจำคุกเพื่อชดใช้ความผิด 14 ปี


เรื่องราวดูเหมือนจะยุติเพียงเท่านี้ หากแต่ 6 ปีต่อมาหลังจากคดีแรก ก็เกิดคดีฆาตกรรมลักษณะแบบนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อตำรวจถูกเรียกตัวไปยังพื้นที่บอร์โก ซาน ลอเรนโซ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฟลอเรนซ์ หลังจากรับแจ้งว่ามีคนพบศพสองคู่รักถูยิงในขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กันในรถเฟียต 127 ที่จอดอยู่เส้นทางเปลี่ยวไร้ผู้คน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุตำรวจก็พบร่างกายเปลือยเปล่าของชายหนุ่มที่ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ ปาสเคล เกนคิลคอเร อายุ 19 ปี ถูกยิงด้วยกระสุนปืนกว่า 5 นัด ตายคารถแบบไม่ทันตั้งตัว และที่ด้านนอกของรถพบร่างเปลือยของหญิงสาวนอนอยู่บนพื้น ทราบภายหลังว่าชื่อ สเตฟาเนีย เปตตินี อายุ 18 ปี ซึ่งเธอถูกฆ่าโหดกว่าชายหนุ่มคู่รักของเธอหลายเท่า เชื่อว่าฆาตกรได้ลากผู้หญิงออกจากรถ ซึ่งไม่ทราบว่าตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เธอถูกยิง 3 นัด และถูกแทงด้วยอาวุธที่น่าจะเป็นมีดกว่า 97 แผล บางแผลลึกและยาวถึง 12 เซนติเมตร อวัยวะเพศของเธอถูกตัดออก และนอนตายอยู่ด้านหลังรถห่างไปไม่กี่ฟุต จากการสอบสวน พบว่าสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมนั้นอยู่ไม่ไกลจากดิสโก้ "ทีนคลับ" สถานที่ที่ทั้งสองดิ่มกันกับเพื่อน ๆ ก่อนไปพลอดรักและถูกฆ่าไม่กี่ชั่วโมง โดยก่อนหน้านั้นสเตฟาเนียบอกกับเพื่อนสนิทว่า มีชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดกำลังจ้องมองเธออยู่ ดวงตานั้นจ้องเขม็งจนเธอรู้สึกกลัวขึ้นมา


ที่น่าสนใจคือ อาวุธปืนที่ฆาตกรใช้นั้นเป็นปืน .22 บาร์เร็ตต้า และปลอกกระสุนทองแดงวินเชสเตอร์ที่ผลิตในประเทศออสเตรเลีย เหมือนอาวุธเดียวกันกับที่สังหารนางบาร์บาร่าและชู้รักเมื่อ 6 ปีก่อนไม่ผิด แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ว่าทั้งสองคดีน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ในที่เกิดเหตุไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะเชื่อมโยงปหาคนร้ายตัวจริง ทำให้คดีถึงทางตัน ได้แต่เพียงแค่สันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นพวกบ้าคลั่งและมีพฤติกรรมผิดปกติทางเพศเท่านั้น


7 ปีต่อมา คดีฆาตกรรมคู่รักครั้งที่ 3 ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง วันที่ 6 มิถุนายน 1981 ที่สกันดิกซิ มีการพบศพจิโอวานนี่ ฟอกจิ อายุ 30 ปี และคาร์เมลา ดิ นักชิโอ อายุ 21 ปี ถูกยิงและแทงอย่างหฤโหดในขณะพลอดรักกัน ทั้งคู่เสียชีวิตในรถเฟียตสีแดง และฆาตกรยังได้ตัดบางส่วนของช่องคลอดฝ่ายหญิงติดมือไปด้วย แสดงให้เห็นว่าฆาตกรมีความชำนาญในการใช้ของมีคมพอสมควร ไม่นานหลังจากเกิดคดีที่ 3 ตำรวจได้คุมตัวคนในท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ เอ็นโซ่ สปัลเล็ตติ เพราะเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับการฆาตกรรมคู่รักครั้งที่ 3 นี้แก่ภรรยาของเขาอย่างละเอียดราวกับอยู่ในเหตุการณ์ จนเขาต้องติดคุกนานสามเดือน แต่ก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาโดยไม่ได้ตั้งข้อหาอะไร


ดูเหมือนเจ้าอสุรสัตว์จะย่ามใจ คราวนี้มันก้ก่อคดีที่ 4 ในเวลาไม่กี่เดือนแทนที่จะรอเวลาให้ผ่านไปหลายปีเหมือนครั้งที่ผ่านมา วันที่ 23 ตุลาคม 1981 เจ้าฆาตกรได้ฆ่าหนุ่มสาว สเตฟาโน บัลติ คนงานอายุ 26 ปี และซูซานนา แคมบิ พนักงานต่อสายโทรศัพท์อายุ 24 ปี ทั้งคู่มีกำหนดจะแต่งงานในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ต้องมาถูกฆ่าโดยฆาตกรที่ทั้งยิงและแทงจนเสียชีวิตคารถขณะพลอดรักกันในสวนสาธารณะในพื้นที่ใกล้เคียงเมืองกาเลนซาโน และช่องคลอดของฝ่ายหญิงถูกตัดออกเช่นเคย


ปาสเคล เกนติลคอเร (ซ้าย) แะสเตฟาเนีย เปตตินี (ขวา)


คู่รักที่ตกเป็นเหยื่อรายต่อมาคือ เปาโล มาอินาร์ดิ อายุ 22 ปี และแอนโทเนลล่า มิกลิโอรินิ อายุ 20 ปี ทั้งคู่ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 1982 ในระหว่างที่กำลังจะจอดรถเพื่อหาที่พลอดรักบนถนนของชนบทในมอนเตชเปอโตลิ ซึ่งจู่ ๆ ก็มีเงาลึกลับโผล่ออกจากพุ่มไม้แบบกะทันหันและยิงปืน .22 บาร์เร็ตต้าใส่ทั้งคู่ผ่านกระจกหน้าจนรถเสียหลักตกข้างทาง แต่คราวนี้ฆาตกรไม่ได้ทำอะไรเหยื่อผู้หญิงมากนัก และฝ่ายชายยังคงมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลเขาก็สิ้นใจตายในไม่เวลาไม่นาน ต่อมาก็ได้มีการแถลงข่าวจากทางตำรวจว่าในช่วงที่เหยื่อฝ่ายชายยังมีชีวิตอยู่นั้น ได้อธิบายลักษณะของฆาตกร ทำให้การสืบสวนมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าจะสามารถจับตัวฆาตกรตัวจริงได้ในเวลาไม่กี่วัน จึงขอให้ฆาตกรรายนี้มามอบตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมามอบตัวแต่อย่างใด


การก่อคดีต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้ง ทำให้นายสเตฟาโน่ที่ถูกตัดสินว่าฆ่าภรรยาและชู้รักในคดีแรกหลุดพ้นข้อกล่าวหาไปด้วย เพราะเขาถูกจำคุกมาตลอดในปี ค.ศ. 1974 และ 1981 ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าอสุรสัตว์ออกอาละวาด อีกทั้งเขาเองก็กลับคำสารภาพว่าเขาไม่ได้ฆ่าภรรยาของตนและชู้รักของเธอหากแต่เพราะถูกแบล็คเมล์ให้ยอมรับคำพิพากษา แม้ว่าเขาจะถูกจับเป็นผู้ต้องสงสัยอีกในปี ค.ศ.1985 แต่ก็ถูกปล่อยตัวอีกครั้ง ทำให้จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่านายสเตฟาโน่เป็นฆาตกรตัวจริงหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้หรือไม่

ตำรวจเริ่มตระหนักแล้วว่า ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับฆาตกรต่อเนื่อง คดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมคู่รักล้วนเชื่อมโยงกับฆาตกรรายนี้ทั้งสิ้น ด้วยอาวุธสังหารที่ใช้ชนิดเดียวกัน วิธีการฆ่าเหมือนกัน ลักษณะเหยื่อทีเหมือนกัน สื่อมวลชนและประชาชนเริ่มให้ความสนใจในคดีนี้ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทางการไขคดีให้ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามประกาศเตือนชาวเมืองว่า อย่าไปไหนเป็นคู่ตอนกลางคืน และไม่ควรจอดรถในสถานที่ลับตาคนมิฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อของเจ้าอสุรสัตว์ เพราะมันสามารถปรากฏตัวได้ทุกเวลา ทุกโอกาส และสามารถฆ่าได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แม้ทางการจะประกาศเตือนแค่ไหนก็ตาม ก็ยังมีผู้ตกเป็นเหยื่ออยู่ดี


วันที่ 9 กันยายน 1983 อสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์กลับมาอีกครั้ง หากแต่คราวนี้มันได้ก่อคดีที่เปลี่ยนรูปแบบของมันโดยสิ้นเชิง เมื่อมันฆ่าผู้ชายทั้งคู่แทนที่จะเป็นคู่ชายหญิงเหมือนครั้งก่อน ผู้ตกเป็นเหยื่อคือ ฮอร์สต์ วิลเลียม เมเยอร์ และเยนส์ อูเว่ รัช อายุ 24 ปี สองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน (เชื่อว่าเป็นคู่เกย์) ถูกยิงหลายนัดในขณะนอนหลับในรถบัสโฟล์คสวาเก้นที่จอดอยู่ข้างสวนของฟาร์มแห่งหนึ่งในแกลลัสโซ่ ทางตอนใต้ของฟลอเรนซ์ แม้ว่าจะเป็นการฆ่าผิดหลักการเดิมของฆาตกร แต่บางฝ่ายเชื่อว่าฆาตกรคงเข้าใจผิดคิดว่านายรัชที่ไว้ผมยาวเป็นผู้หญิง ส่งผลทำให้กลายเป็นการฆ่าเหยื่อผิดคิวไป



แอนโทเนลล่า มิกลิโอรินิ (ซ้าย) และเปาโล มาอินาร์ดิ (ขวา)


ในวันที่ 29 กรกฎาคม ปีถัดมา คลอดิโอ สเตฟาแนกซิ และเปีย กิลดา รอนทินิ อายุ 18 ปี ถูกฆ่าตามแบบฉบับเหมือนเหยื่อก่อนหน้า คือทั้งคู่ถูกยิงและแทงขณะอยู่ในรถที่ยอดในวิคซิโอ ดี มูเกลโล่ ฝ่ายหญิงถูกฆาตกรแทงนับไม่ถ้วนพร้อมเฉือนเต้านมซ้ายไปเป็นที่ระลึกก่อนที่จะจากไป และแล้ว การฆาตกรรมครั้งสุดท้ายของอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อ ฌอง มิเชล คราเวียชวิลลิ อายุ 25 ปี และนาดิเน มัวริโอต์ อายุ 36 ปี คู่นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสถูกพบเป็นศพในตอนบ่ายของวันจันทร์ที่ 9 กันยายน 1985 ทั้งคู่ถูกยิงและถูกแทงในขณะนอนหลับในเต๊นท์ขนาดเล็กในเขตป่าใกล้ซาน คาสเซียโน นอกเมืองฟลอเรนซ์ ศพฝ่ายชายอยู่ไม่ไกลจากเต๊นท์มากนัก สันนิษฐานว่าเขาพยายามหนีฆาตกรในสภาพบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกยิง 4 นัด แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นก่อนที่จะถูกแทงที่หน้าอก หน้าท้อง และถูกเชือดที่ลำคอ ส่วนร่างของหญิงสาวถูกยิงสี่นัดและแทงไม่ยั้งกว่า 36 แผล พร้อมตัดเต้านมซ้ายเก็บไปเป็นที่ระลึก


ในเช้าวันที่ศพถูกค้นพบฆาตกรได้ทิ้งทวนครั้งสุดท้ายเมื่อมันส่งจดหมายที่เนื้อหาใช้ตัวอักษรที่ตัดจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์มาแปะเป็นประโยค ส่งไปยัง ซิลเวีย เดลล่า โมนิกา อัยการรัฐ เนื้อหาจดหมายเหน็บแนมและอ้างถึงความรับผิดชอบคดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส และภายในซองจดหมายยังมีถุงพลาสติกขนาดเล็กบรรจุก้อนเนื้อที่เป็นชิ้นส่วนเต้านมของมัวโรต์ติดมาด้วย


ในวันเดียวกันก็มีการพบปลอกกระสุนทองแดงวินเชสเตอร์จำนวนหนึ่งที่ด้านหน้าของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้สถานที่ฆาตกรรม มีความเป็นไปได้ว่าฆาตกรใช้ถุงมือผ่าตัดและมีดสำหรับผ่าตัดในการฆ่าเหยื่อ แต่เมื่อตำรวจสอบถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ไม่มีใครถูกตั้งข้อกล่าวหา หลังจากนั้นเป็นต้นมา อสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ก็หยุดออกอาละวาด ไม่ปรากฏออกมาให้เห็นอีกเลย แม้ฆาตกรจะหายไปดื้อ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่การสืบสวนของตำรวจอิตาลียังคงเข้มข้นกว่าสองทศวรรษ ผู้เกี่ยวข้องกว่า 100,000 คน ถูกสอบปากคำเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม แม้ฆาตกรก่อเหตุแบบบ้าบิ่นพร้อมทิ้งหลักฐานจำนวนมาก แต่ก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่สามารถแกะรอยสาวไปถึงตัวมันได้เลย


ทางเอฟบีไอเองก็ให้ความสนใจคดีอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ไม่แพ้กัน จากการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาเชื่อว่า ตัวฆาตกรน่าจะมีความรู้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีประสบการณ์ในการทำงานที่จำเป็นต้องใช้มีด สถานที่ทำงานน่าจะอยู่ในพื้นที่ฆาตกรรม อาศัยอยู่ตัวคนเดียวและมีรถส่วนตัว ฆาตกรอาจจะมีประวัติอาชญากรรม แม้อาจจะเป็นอาชญากรรมเล็ก ๆ เช่นลักเล็กขโมยน้อย หรือลอบวางเพลิงแต่ไม่ใหญ่โตมากนัก ส่วนสาเหตุที่มันหายไปในช่วงปี ค.ศ. 1974-1981 เป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจไปอาศัยอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ฟลอเรนซ์


ภาพสเก็ตซ์คนร้าย


นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าฆาตกรน่าจะลงมือคนเดียวและเป็นผู้ชายไร้สมรรถภาพทางเพศ มีความเกลียดชังผู้หญิง แต่เป้าหมายหลัก ๆ คือ การหาคู่รักที่มีสัมพันธ์สวาทกันในพื้นที่เงียบสงบไม่มีคนเดินผ่าน มีความเป็นไปได้ที่ฆาตกรจะเฝ้ามองเหยื่อของเขา และรอเหยื่อมีเพศสัมพันธ์ การที่จู่โจมแบบสายฟ้าแลบแสดงให้เห็นว่าฆาตกรขาดความเชื่อมั่นในการควบคมเหยื่อหรือไม่กล้าเผชิญหน้าแบบตรง ๆ ขณะที่เหยื่อมีชีวิตอยู่ การที่กำหนดเป้าหมายให้ผู้ชายตกเป็นเหยื่อในการฆาตกรรมก่อน ก็เพื่อกำจัดสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


ที่น่าสนใจและน่าขนลุกคือ ฆาตกรใช้ปืน .22 บาร์เร็ตต้ากระบอกเดียวกัน กระสุนก็มาจากกล่องเดียวกัน และมีดก็ใช้เล่มเดียวกันทั้งหมด ซึ่งมันเป็นไปได้อย่างมากว่า ฆาตกรอาจสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันก่อคดี และสวมถุงมือเพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งลายนิ้วมือในสถานที่เกิดเหตุ อีกทั้งการตัดชิ้นส่วนร่างกายของเหยื่อไปเป็นที่ระลึกนั้น บางทีเขาอาจกินชิ้นส่วนศพของเหยื่อไปด้วยซ้ำ และที่น่ากลัวคือ ยิ่งก่อคดีฆาตกรรมมากเท่าใด ฆาตกรก็จะมีความมั่นใจขึ้น เห็นได้จากการเขียนจดหมายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เหมือนไม่กลัวอำนาจกฎหมายและไม่กลัวถูกจับแต่อย่างใด ตำรวจพยายามที่จะตามหาฆาตกรตัวจริงมาลงโทษ แม้มีผู้ต้องสงสัยมากมายที่ถูกจับมาสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี หากแต่ทั้งหมดก็ถูกปล่อยตัวจากนั้นไม่นานโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาใด ๆ ทั้งสิ้น


ในวันที่ 11 กันยายน 1985 ตำรวจก็ได้รายชื่อผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่เชื่อว่าเป็นฆาตกรตัวจริงในคดีอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ชื่อ นายแพกซิอานิ เปโตร อาชีพเกษตรกร อายุ 68 ปี ซึ่งมีนิสัยชอบล่าและสตัฟฟ์สัตว์ จากการตรวจค้นประวัติ พบว่าเขาเคยถูกจับกุมในปี 1951 ในข้อหาจู่โจมแฟนอายุ 16 ปีของเขาและคู่นอนอีกคนของเธอ ในขณะที่พวกเขากำลังพลอดรักกันในป่า ครั้งแรกเขาดึงชายคนนั้นออกมาจากรถ กระทืบ ทุบหัวด้วยก้อนหิน และแทงซ้ำไปกว่า 19 ครั้งจนตาย ซึ่งผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้เขาถูกพิพากษาให้จำคุก 13 ปี


แพกซิอานี เปโตร ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ


หลังออกจากคุกแพกซิอานีก็ใช้ชีวิตใหม่ด้วยการแต่งงานและมีครอบครัว แต่ไม่นานก็ติดคุกอีกครั้งระหว่างปี ค.ศ. 1987-1991 ในข้อหาทุบตีภรรยาและข่มขืนลูกสาวตัวเอง ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วยที่อสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์หยุดอาละวาดด้วย ซึ่งรายละเอียดส่วนใหญ่นั้นตรงกับจิตวิเคราะห์ของเอฟบีไอแทบทุกอย่าง จากการสอบสวนเพิ่มเติมยังพบอีกว่า แพกซิอานีมีส่วนร่วมในกลุ่มนับถือลัทธิไสยศาสตร์กับชายท้องถิ่นสองคน ประกอบด้วย มาริโอ แวนนิ และจิอันคาริโอ ลอตตี้ ทั้งหมดมีประวัติเป็นนักข่มขืน นักถ้ำมอง ที่ชอบออกหาเหยื่อตอนกลางคืน


อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่มีหลักฐานเอาผิดเขาและพรรคพวก แต่เนื่องด้วยความกดดันจากหลายฝ่าย ส่งผลทำให้แพกซิอานี และพรรคพวกถูกจับกุมเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1993 และเริ่มสู้ทางชั้นศาล แน่นอนว่าข่าวนี้เป็นที่สนใจของโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และหลายสื่ออย่างกว้างขวาง ในห้องพิจารณคดีแพกซิอานียังคงยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมทั้งยังสาบานต่อหน้าพระเยซูคริสต์ว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง แต่ผลตัดสินของศาลในปี ค.ศ. 1994 สรุปว่าเขามีความผิดจริง และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งต่อมาพรรคพวกของเขาก็โดนโทษหนักไม่แพ้กัน


ท่ามกลางข้อสงสัยของหลายฝ่ายที่หลาย ๆ อย่างยังอธิบายได้ไม่กระจ่างชัด ซึ่งบางคนก็เชื่อว่าแพกซิอานีนั้นเป็นเพียงแพะรับบาปในคดีอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ด้วยซ้ำ แพกซิอานียังคงอุทธรณ์ยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งหลายฝ่ายเองพยายามรื้อคดีนี้ขึ้นมาพิจารณา หากดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1998 แพกซิอานีก็ดันมาตายเสียขณะถูกคุมขัง จากการสันนิษฐานถึงการเสียชีวิต สรุปว่าเขาตายเพราะเสพยาเกินขนาด ทำให้ความลับทั้งหลายตายไปพร้อมกับเขาด้วย


ในปี 2001 มีการรื้อคดีอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์อีกครั้ง แม้คดีจะเกิดขึ้นนานแล้วก็ตามแต่ทางการได้อ้างว่าพบหลักฐานและผู้ต้องสงสัยรายใหม่ ซึ่งตำรวจพุ่งข้อสงสัยไปที่พวกลัทธินอกรีตที่มีเงินและอุปกรณ์พร้อมในการฆ่าคน และนิกายดังกล่าวก็ทำตัวเหมือนเพชฌฆาตหาเหยื่อฆ่าในยามค่ำคืน แต่ก็หาหลักฐานมาพิสูจน์ไม่ได้ จนแล้วจนรอดตำรวจก็ยังคงดำมืด คว้าอากาศเหมือนเดิม ทุกวันนี้ตัวตนที่แท้จริงของอสุรสัตว์แห่งฟลอเรนซ์ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยังต้องค้นหาคำตอบกันอยู่ต่อไป...💝




Cr. fb ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรรมโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก โดย ไตเติ้ล คอลัมน์สืบสวน-ฆาตกรรม ที่มา : ต่วย'ตูน พิเศษ ปีที่ 38 ฉบับที่ 454 ประจำเดือนธันวาคม 2555, หน้า 102-108.

Comments


Join my mailing list

© 2023 by The Book Lover. Proudly created with Wix.com

bottom of page