✎ ปีศาจในดนตรีการ
- Hathairat Traithip
- 13 ม.ค. 2561
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 มี.ค. 2561
(คัดลอกบทความจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช คอลัมน์คุณขอมา ต่วยตูนพิเศษ)
คีตกวีสมัยก่อนนี้ถ้าใครที่ปฏิบัติบรรเลงได้ไพเราะเป็นที่เลื่องลือก็ถือกันว่าได้รับพรจากพระเจ้า เป็นเสมือน "เครื่องดนตรี" ที่พระเจ้าใช้บรรเลงผ่านลงมาให้มวลมนุษย์ได้ยินได้ยลกัน ดังเช่นโมสาร์ทที่สามารถประพันธ์อุปรากรได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงวัยรุ่นดี ท่านซาลิเอรีคีตกวีร่วมยุคกับโมสาร์ทที่เฝ้าขอพรจากพระเป็นเจ้าให้ตนได้เป็นเสมือน "เครื่องมือ" ปฏิบัติบรรเลงเพลงแห่งสวรรค์ หรือแม้แต่นักเขียนก็เช่นกันถ้าใครเขียนได้ดีจับใจมากก็ว่ากันว่าเก่งดุจเทวดามาช่วยจับปากกาให้
ดังเช่น อเล็กซองเดอร์ ดูมา ผู้เป็นเจ้าของบทประพันธ์กว่าสามร้อยเรื่อง ซึ่งดูแล้วน่าจะมากเกินกว่าที่บุคคลคนหนึ่งจะเขียนได้เองในช่วงเวลาไม่กี่สิบปีน่าจะเป็นงานที่มาจากเทพบันดาลมากกว่า ซึ่งคำเปรียบเปรยนี้อาจมีเค้าของความจริงอยู่ก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมาก็ได้มีเหตุการณ์มหัศจรรย์ในทางคีตศิลป์อยู่มากมาย ที่ทำให้อัครศิลปินของโลกได้รังสรรค์ท่วงทำนองดนตรีที่เสนาะติดหูมาจนถึงทุกวันนี้และมีท่วงทำนองที่สอดรับกับโน้ตเพลงราวกับเป็นเพลงแห่งสวรรค์ โดยเหตุอันน่าอัศจรรย์เหล่านั้นมีทั้งแบบน่ารื่นรมย์เช่น จากความฝันในยามรัตติกาล หรือแบบที่น่าพรั่นพรึงคือปีศาจบันดาล เรามาดูกันเถอะว่าเบื้องหลังของเพลงระดับโลกใดบ้างมีที่มาจากสิ่งลึกลับเหล่านี้

☼ "ทรงพระสุบิน" ดุริยางค์ทิพย์แห่งพระพุทธเลิศหล้าฯ
ดังที่เราได้ทราบกันว่าประเทศไทยนี้มีบุญหนักหนาราวกับว่ามีเทพชั้นสูงคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ จึงได้ดลบันดาลให้เราได้พระเจ้าแผ่นดินที่ทรงมีทั้งพระเมตตาและพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นพระองค์ทรงเป็นอัครศิลปินทั้งในด้านประติมากรรมทำหุ่นพระยารักน้อย พระยารักใหญ่ แกะสลักฝาประตูโบสถ์วัดสุทัศน์ ทรงประพันธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน และที่สำคัญคือ ทรงเป็นคีตกวีในด้านการบรรเลงซอสามสาย โดยมีซอคู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้าฟาด ในคืนวันหนึ่งเมื่อทรงเข้าบรรทมแล้วได้ทรงสุบินไปว่า เห็นพระจันทร์สว่างกระจ่างฟ้าค่อย ๆ ลอยเลื่อนเข้ามา พร้อมกับมีทิพยดุริยางค์ดังกังวานเจื้อยแจ้วออกมาด้วย ทรงสดับอยู่จนกระทั่งพระจันทร์ลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยไปจึงทรงตื่นพระบรรทมขึ้นมา แต่ทำนองเพลงหวานนั้นยังก้องอยู่ในพระโสต จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานช่วยต่อเพลงเอาไว้จนจบได้เป็นเพลงที่เพราะจับใจเรียกว่า "เพลงบุหลันเลื่อนลอยฟ้า" หรือ "บุหลันลอยฟ้า" และที่รู้จักกันดีสุดคือ "บุหลันลอยเลื่อน" และต่อมาเพลงนี้ก็ถือว่าเป็นเพลงครูเพลงศักดิ์สิทธิ์ ใช้บรรเลงเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีอยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาเกิดเพลงสรรเสริญพระบารมีทำนองสากล จึงเรียกเพลงนี้ว่าเพลงสรรเสริญพระจันทร์ เป็นเพลงสรรเสริญบารมี (แบบ) ไทย
“กิดาหยันหมอบกรานอยู่งานพัด
พระบรรทมโสมนัสอยู่ในที่
บุหลันเลื่อนลอยฟ้าไม่ราคี
รัศมีส่องสว่างดังกลางวัน
พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา
ที่จะแต่งคูหาสะตาหมัน
ป่านนี้พระองค์ทรงธรรม์
จะนับวันเคร่าคอยทุกเวลา
ครั้นล่วงเข้ายามดึกสงัด
สงบเงียบเสียงสัตว์ทุกภาษา
วังเวงวิเวกวิญญาณ์
พระนิทราหลับไปในราตรีฯ”
☼ เมฟิสโต วอลซ์ วอลซ์ผีบอก

ไม่มีอะไรจะเหมาะสมที่จะเป็นฉายาแห่งเพลงนี้เท่ากับคำนี้จริง ๆ ด้วยว่าคีตกวีผู้ประพันธ์เพลงนี้ขึ้นนั้นเข้าขั้นอัจฉริยะทางดนตรีของโลกคือ "ฟรานซ์ ลิซท์" ได้บอกเล่าประสบการณ์เรื่องนี้ไว้ให้สหายของเขาฟังว่า ในคืนหนึ่งเมื่อเข้านอนแล้วหลับไปได้ฝันเห็นปีศาจตนหนึ่งย่างเท้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ไกล แล้วบรรเลงเพลงอันไพเราะขึ้นมาโดยที่เขาแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใดมาก่อนอย่างแน่นอน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างแรกเหมือนกับบรรดาศิลปินท่นอื่นที่กระทำกันคือ คว้ากระดาษกับปากกาขนนกขึ้นมาจดท่วงทำนองอันไพเราะจับใจแต่มีที่น่าอันน่าพรั่นพรึงนี้ไว้ นี่คือที่มาแห่ง "เมฟิสโต วอลซ์" ซึ่งมาจากชื่อปีศาจเมฟิสโตเฟลีสซึ่งก็คงไม่ได้มาจากการแนะตำตัวของปีศาจในภายหลัง หากแต่มาจากชื่อปีศาจในวรรณกรรมเรื่องด๊อกเตอร์เฟาส์อันมีพื้นฐานมาจากตำนานพื้นบ้านของเยอรมันที่เป็นที่รู้จักกันดี
☼ "ปีศาจสัญญา" ความสามารถที่ต้องแลกมาด้วยการขายวิญญาณ

ก่อนหน้าฟรานซ์ ลิซท์ไม่นาน นักไวโอลินชั้นครูท่านหนึ่งที่แม้ในปัจจุบันนักไวโอลินทุกท่านก็ยังต้องร่ำเรียนเทคนิคที่เขาคิดค้นมาตั้งแต่เมื่อเกือบ ๒๐๐ ปีก่อน ซึ่งนักไวโอลินระดับปรมาจารย์ท่านนั้นก็คือ "นิโคโล่ ปากานินี่" ว่ากันว่าเขาสีไวโอลินได้สะกดใจผู้ฟังอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นที่โปแลนด์ ปารีส เวียนนา โบฮีเมีย และในท้ายสุดก็มีชื่อเสียงและเงินทองจนเป็นเศรษฐี หลังจากจบการแสดงในประเทศสุดท้ายคืออังกฤษและสก๊อตแลนด์ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ฟังฝีมือสีไวโอลินของเขานั้นต้องมีอันให้เคลิบเคลิ้มใจจนลืมตัวทุกทีไป โดยผู้ฟังสมัยนั้นถึงแก่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยฟังมนุษย์คนใดเดี่ยวไวโอลินที่ใดเพราะจับใจเช่นนี้มาก่อน" เรียกว่าปากานินี่จะไปเปิดการแสดงที่ไหนในยุโรป ก็ล้วนแต่มีแฟนคลับคอยฟังจนแน่นโรงมหรสพทุกครั้ง
จนมีข่าวเล่าลือกันไปตามเมืองต่าง ๆ ว่า ที่ปากานินี่บรรเลงได้เพราะเหนือมนุษย์ศิลปินคนอื่น ๆ นั้น ก็เพราะจับมือทำสัญญาขายวิญญาณให้แก่ "ซาตาน" เพื่อแลกกับความสามารถทางดนตรี ซึ่งซาตานก็ตกลงทำให้สัญญานั้นให้สัมฤทธิ์ผลในทันที เมื่อข่าวลือนี้กระฉ่อนไปถึงหูปากานินี่ เขาไม่ได้รู้สึกโกรธขึ้งอะไรแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้ามกลับรู้สึกพอใจเสียด้วยซ้ำ ด้วยการที่ทำบุคลิกให้เหมือนกับบุคคลลึกมากขึ้น โดยใช้พาหนะคือรถม้าทาสีดำ และลากโดยม้าดำปลอดทั้งสองตัว และในขณะที่บรรเลงไวโอลินนั้น เมื่อ "อิน" มากเข้า เขาก็หลับตาปะหลักปะเหลือก บางทีก็เห็นแต่ตาขาวดูน่ากลัว กอปรกับรูปกายที่ผอมสูงแก้มตอบ ผมที่ยาวสยายปลิวไปมาปรกหน้าอยู่ ก็ยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้น แต่ผู้คนก็ยังไม่รู้สึกกลัวหรือสะดุ้งใจกับรูปลักษณ์ของเขามาก ด้วยว่าบทเพลงที่ออกจากปลายนิ้วของเขาที่กดลงบนสายไวโอลินนั้น มันช่างตรึงอารมณ์ของผู้ฟังอย่างที่ไม่เคยมีใครสามารถบรรเลงได้เช่นนี้มาก่อน แต่ท้ายสุดก็ปรากฏว่าชีวิตของปากานินี่แทนที่จะได้อยู่ใช้เงินเล่นอย่างเศรษฐี ด้วยเงินที่ได้มาจากการแสดงจนร่ำรวย เขาติดการดื่ม และเล่นการพนันเสียจนชีวิตล้มเหลว และต้องจากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ยากพอสมควรเลยทีเดียว
ยิ่งเป็นสิ่งตอกย้ำให้ผู้คนพากันเชื่อว่าซาตานได้มาทวงสิ่งที่ท่านสัญญาไว้เพื่อแลกกับพรสวรรค์อันเป็นหนึ่งในทางไวโอลินแต่เพียงผู้เดียวของโลกแล้ว
☼ "น้ำตาแสงใต้" สดุดีวีรกรรมนายทหารเอกแห่งกรุงศรีอยุธยา

"นวลเจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ..." เพียงแค่ประโยคแรกก็ทำให้เห็นภาพของนายทหารหนุ่มที่รู้ชะตากรรมของตนเอง กำลังร่ำลากับ "นวล" สาวคนรักด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ที่มาของเพลงนี้ก็น่าซาบซึ้งและแปลกประหลาดไม่แพ้กัน โดยนักเปียโนหนุ่มท่านหนึ่งนามว่า "สง่า" ได้รับโจทย์มาว่าให้ช่วยแต่งทำนองเพลงประกอบละครอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "พันท้ายนรสิงห์" ซึ่งจะเปิดแสดงที่ศาลาเฉลิมกรุงให้ทันรอบปฐมทัศน์ โดยให้รายละเอียดของโจทย์มาว่าต้องเป็นทำนองที่ได้กลิ่นอายของไทยเดิมที่เย็นและหวานเศร้าแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่โบราณจนเกินไป
ในตอนนั้นท่านนักดนตรีหนุ่มก็คิดทำนองได้อยู่สองเพลงตั้วไว้คือ "สาวครวญ" และ "เขมรไทรโยค" ซึ่งภายในเวลาที่จำกัดเช่นนี้เมื่อคิดไปมาแล้วก็ยังไม่ลงตัวเสียที คืนนั้นหลังจากที่ได้นั่งคุยและดื่มปรึกษากันกับเพื่อนศิลปินแล้ว นักเปียโนเอกก็เดินทางกลับบ้าน เมื่อหัวถึงหมอนก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ทันที โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่จู่ ๆ ก็เห็นภาพเด่นชัดของบุคคลสามคนเดินเข้ามา เป็นชายสองหญิงหนึ่ง โดยคนหนึ่งนั้นเดินเข้ามาที่เปียโน แล้วลงเมือบรรเลงเพลงลาวครวญซึ่งเพราะจนจับใจ จากนั้นคนถัดมาก็นั่งลงบรรเลงเขมรไทรโยคได้หวานล้ำกินใจไม่แพ้กัน และคนสุดท้ายนั้นได้บรรเลงเพลงใหม่ที่แปลกหูแต่เพราะที่สุด โดยการนำทำนองจากทั้งสองเพลงมารวมกัน จากนั้นเมื่อการบรรเลงแบบคอนเสิร์ตส่วนตัวจบลง คุณสง่าก็ตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับจดจำท่วงทำนองนั้นไว้ได้อย่างแม่นยำ และเมื่อได้ลองนำมาเล่นซ้ำแล้วก็ได้กลายเป็นบทเพลงอมตะ "น้ำตาแสงใต้" ที่โด่งดังมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และคีตกวีผู้นั้นก็คือ "ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร" ผู้เป็นอัครศิลปินรุ่นบุกเบิกแห่งสยามประเทศนั่นเอง

นอกจากนั้นยังมี โรเบิร์ต จอห์นสัน ซึ่งเป็นนักดนตรีบลูส์ชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 20-30 อีก และนักดนตรีบลูส์อีกหลายคนในยุคใกล้กันที่เป็นเจ้าของผลงานเพลงอันไพเราะน่าอัศจรรย์มากมายหลายสิบเพลง ทั้งที่อายุอานามยังน้อยกันอยู่ และเรื่องนี้เจ้าตัวจอห์นสันก็เป็นผู้เล่าเองว่า เขาได้พรสวรรค์นี้มาจากการทำสัญญาขายวิญญาณตัวเองให้กับเหล่าปีศาจ ซึ่งจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ยากที่จะล่วงรู้ได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ โรเบิร์ต จอห์นสัน เสียชีวิตด้วยสาเหตุอันลึกลับเมื่อมีอายุได้เพียง ๒๗ ปีเท่านั้น ในขณะที่กำลังโด่งดังเป็นพลุเสียด้วย
เหล่านี้คือสิ่งลึกลับและสิ่งมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นแก่ศิลปินระดับโลกหลาย ๆ ท่าน แต่บางท่านอาจจะไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง ด้วยว่าภาพนิมิตต่าง ๆ ที่เห็นอาจมาจากจินตนาการอันบรรเจิดของศิลปินเหล่านี้ กอปรกับความกังวลครุ่นคิดกับงานมากเสียจนมันฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกแลว้จึงตกผลึกออกมาเป็นความฝัน ได้เป็นผลงานฝากโลกไว้ให้ได้ชื่นชม แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดี ถ้าแม้นว่าเราได้ลงความเพียงอย่างยิ่งยวดของเราเป็นที่ตั้งฝ่ายหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็เชื่อได้ทีเดียวว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายท่านย่อมช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างแน่นอน.......✎
°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°
โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช คอลัมน์คุณขอมา
ที่มา : ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 34 ฉบับที่ 404 เดือนตุลาคม 2551, หน้า 64-67.
Comments