top of page

✎เรือที่ไม่ยอมอับปาง

  • รูปภาพนักเขียน: Hathairat Traithip
    Hathairat Traithip
  • 13 ม.ค. 2561
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 2 มี.ค. 2561

(คัดลอกบทความจาก พาดสาย คอลัมน์ 108 ปริศนา ต่วยตูนพิเศษ)


ว่ากันว่าจนถึงเดี๋ยวนี้เธอยังคงเตร็ดเตร่อยู่แถวทะเลโบฟอร์ต แปซิฟิกเหนือ ซึ่งถ้าเป็นจริงตามที่เชื่อกัน ป่านนี้อายุของเธอก็ปาเข้าไป 100 กว่าปีแล้ว เรือเบย์ชิโม เป็นเรือสินค้าระวางขับน้ำ 1,322 ตัน บริษัทฮัดสันเบย์เป็นเจ้าของ เรือลำนี้ต่อที่สวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1914 เป็นเรือเหล็กรูปร่างเพรียว มีปล่องสูงเพียงปล่องเดียว สะพานเดินเรือรูปโค้งมน หัวเรือสูงและยาว ซึ่งก็เหมาะสม เพราะจะต้องให้เรือทนทานต่อการเบียดสีของบรรดาแพน้ำแข็งและก้อนน้ำแข็งน้อยใหญ่ที่ลอยเปะปะอยู่ในทะเลแถบน่านน้ำตอนเหนือของโลก


บริษัทผู้เป็นเจ้าของเรือใช้เรือลำนี้วิ่งรับขนเฟอร์จากบรรดานักดักสัตว์ชาวเอสกิโมตามแนวชายฝั่งนอร์ธเวสต์เทอริตอรีของแคนาดา เรือเบย์ชิโมนับเป็นเรือลำแรกที่เข้าไปบุกเบิกการค้าขนเฟอร์กับพวกเอสกิโมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบทะเลโบฟอร์ต เธอต้องวิ่งฝ่าทะเลโหดแห่งนี้เป็นระยะทางไปกลับ 3,200 กิโลเมตรอยู่เป็นประจำ ทุก ๆ ปีเรือเบย์ชิโมจะขนอาหาร น้ำมัน และเครื่องอุปโภคอื่น ๆ ไปส่งให้สถานีค้าของบริษัทฮัตสันเบย์ในย่านนั้น 8 แห่ง แต่ละแห่งล้วนตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากความเจริญ แล้วก็รับเอาผืนขนสัตว์จากสถานีค้าเหล่านั้นขนกลับไป


เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1931 เรือเบย์ชิโมได้แล่นออกจากท่าเมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดามี "จอห์น คอร์นเวลล์" เป็นกัปตัน และมีลูกเรืออีก 36 คนร่วมเดินทางไปด้วย คนพวกนี้พร้อมต่อสู้กับความยากลำบากด้วยรู้ดีว่าตลอดระยะการเดินทางนั้นไม่ได้มีความสะดวกสบายเลย ทั้งวันทั้งคืนเรือลำนี้จะแล่นมุ่งหน้าไปทางตะวันออกภายใต้แสงมัวซัวของพระอาทิตย์หน้าร้อนของขั้วโลกเหนือ ทุกที่ที่จอดแวะพวกลูกเรือก็ต้องขนสินค้าสัมภาระออกจากเรือส่งมอบให้สถานีค้าของบริษัท แล้วขนผืนขนเฟอร์ที่มีราคาจากสถานีค้าเข้าบรรทุกแทน เมื่อแล่นไปจนถึงปลายทางที่ท้ายเกาะวิคตอเรียและบรรทุกขนเฟอร์จนเต็มระวางแล้วก็หันหัวแล่นกลับแวนคูเวอร์เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติ


แต่ครั้งนี้โชคไม่ค่อยดี ด้วยปีนั้นฤดูหนาวมาเร็วกว่ากำหนด ลมพัดแรงจัดและภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนลงใต้เร็วกว่าปกติ พอถึงวันที่ 30 กันยายน 1931 เหลือเพียงร่องน้ำเปิดแคบ ๆ พอให้เรือใช้ฝีจักรแล่นไปได้ช้า ๆ แต่พอรุ่งขึ้นวันที่ 1 ตุลาคม 1931 ผิวหน้าน้ำกลายเป็นน้ำแข็งหมด ปิดโอกาสไม่ยอมให้เรือเบย์ชิโมขยับเขยื้อนไปไหนได้อีก เรือต้องดับเครื่องลอยลำอยู่เฉย ๆ สุดแต่น้ำแข็งจะพาไป ตอนนั้นเรืออยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านบาร์โรว์ของอลาสก้า ซึ่งที่นั่นมีกระท่อมไม้ถาวรของบริษัทสร้างเอาไว้ที่ชายฝั่ง แล้วเมื่อเห็นว่าพายุหิมะใกล้จะมาอยู่แล้ว กัปตันคอร์นเวลจึงให้ลูกเรือของเขาเดินข้ามทะเลน้ำแข็งระยะทางยาว 800 เมตรเห็นจะได้เข้าไปหลยพายุอยู่ในนั้นกันสองวันเต็ม ๆ แทบจะแข็งตายออกไปไหนไม่ได้ พอพายุสงบ เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นกับเรือเบย์ชิโม โดยมิได้มีอะไรบอกกล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้า แผ่นน้ำแข็งได้แตกออกและขยับเลื่อนห่างจากข้างเรือทำให้เรือแล่นได้อีกครั้ง พวกลูกเรือรีบกลับขึ้นเรือและแล่นเต็มฝีจักรมุ่งไปทางตะวันตก สามชั่วโมงเต็มที่หลีกหนีหายนะมาได้อย่างหวุดหวิด


แต่แล้วน้ำแข็งก็ก่อตัวอีกครั้งปิดทางมิให้เรือแล่นต่อไปได้อีก และคราวนี้ไปไหนไม่ได้เลย พอถึงวันที่ 8 ตุลาคม 1931 ก็เกิดรอยแตกร้าวน่าอันตรายขึ้นที่พื้นน้ำแข็ง ที่พวกลูกเรือลงไปเล่นฟุตบอลฆ่าเวลาระหว่างที่รอว่าเมื่อใดจะกลับบ้านได้ ถึงตอนนี้นำแข็งที่ยึดเกาะตัวเรือไว้ได้แตกออก เรือลอยลำช้า ๆ เข้าหาฝั่ง แต่สำหรับกัปตันคอร์นเวลล์มันดูจะเป็นช่วงเวลาที่ระทึกใจที่สุด เพราะเขารู้ดีว่าอีกไม่เร็วก็ช้าเรือเล็ก ๆ ลำนี้จะต้องถูกน้ำแข็งดันไปกระแทกกับหินโสโครกที่ชายฝั่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่ต่างกับเหลือกไข่ที่กระทบหิน สัญญาณขอความช่วยเหลือเอสโอเอสจึงถูกส่งออกไป ส่วนพวกลูกเรือก็ได้แค่สวดภาวนาขอให้เรือของพวกเขารอดพ้นอันตรายครั้งนี้ไปได้ แต่สถานการณ์ของพวกเขาดูจะสิ้นหวัง ดังนั้นพอถึงวันที่ 15 ตุลาคม 1931 บริษัทฮัตสันเบย์จึงได้ส่งเครื่องบินสองลำจากสนามบินโนเมที่อยู่ห่างออกไป 960 กิโลเมตรมารับลูกเรือเบย์ชิโม ช่วยไปได้ 22 คน ทิ้งกัปตันกับลูกเรืออีก 14 คนไว้ที่เรือเบย์ชิโม รอโอกาสเผื่อว่าเมื่อใดน้ำแข็งละลายก็จะได้นำเรือและสินค้าอันมีค่ากลับ


ซึ่งพวกเขาก็รู้ดีว่าการรอคอยครั้งนี้อาจจะเป็นปี ดังนั้นพวกลูกเรือจึงไปสร้างที่พักเล็ก ๆ ไว้หลบลมหนาวบนลานน้ำแข็งห่างจากฝั่งราวหนึ่งไมล์ แต่การพักพิงของพวกเขาดูจะสั้นกว่าที่คิด อีกทั้งยังชวนอกสั่นขวัญหายเอาการด้วยว่าในคืนวันที่ 24 พฤศจิกายน ได้เกิดพายุหิมะร้ายแรงเป็นที่สุด พวกลูกเรือถูกปิดขังอยู่ในกระท่อมไม้เล็ก ๆ หลังนั้นไม่กล้าโผล่ไปไหน พออายุสงบแล้วและออกมาได้ก็พบว่าเรือเบย์ชิโมได้หายไปเสียแล้ว มีแต่ภูเขาน้ำแข็งสูง 20 เมตรตั้งอยู่ทนที่ พวกเขาเที่ยวค้นหากันไปทั่วก็ไม่เจอเรือจึงสรุปกันว่าเรือเบย์ชิโมคงจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และจมลงใต้น้ำเมื่อตอนเกิดพายุหิมะนั่นเป็นแน่


พวกลูกเรือทั้งหมดจึงกลับขึ้นฝั่งหาที่หลบพักก่อนที่มันจะหนาวยิ่งไปกว่านี้ และเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับบ้านกัน แต่แล้วในอีกสองสามวันต่อมาพรานล่าแมวน้ำชาวเอสกิโมคนหนึ่งก็นำข่าวอันน่าตื่นเต้นมาบอกพวกเขาว่าเขาได้เห็นเรือเบย์ชิโมอยู่ห่างจากที่นี่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 70 กิโลเมตร ชายทั้ง 15 คนจึงพากันเดินบุกหิมะไปจนถึงที่นั่น แล้วก็ได้พบว่าเรือเบย์ชิโมอยู่ที่นั่นจริงอย่างที่พรานเอสกิโมบอก บางทีเมื่อตอนเกิดพายุทั้งน้ำและลมคงช่่วยกันพัดพาเธอให้ลอยเท้งเต้งไปติดอยู่แถวนั้น กัปตันคอร์นเวลล์ดูสภาพดินฟ้าอากาศขณะนั้นแล้วเห็นว่าน้ำแข็งคงจะไม่ยอมแตกตัวง่าย ๆ ดังนั้นโอกาสที่เขาจะกู้เรือของเขากลับคืนจึงเป็นศูนย์ เขาจึงสั่งพวกลูกเรือให้ช่วยกันขนผืนขนเฟอร์กลับขึ้นฝั่งให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ ส่วนเรือเบย์ชิโมนั้นก็ต้องปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม เมื่อกัปตันและลูกเรือกลับถึงฝั่งแล้วบริษัทฮัตสันเบย์ก็ได้ส่งเครื่องบินมารับพวกเขา เป็นอันว่าทุกคนรอดชีวิตกลับบ้านได้โดยปลอดภัย นอกจากเรือเบย์ชิโม


เวลาผ่านไปหลายเดือน แล้วสำนักงานสาขาของบริษัทฮัตสันเบย์ที่แวนคูเวอร์ก็ได้รับข่าวอันแปลกประหลาดจากพวกเอสกิโมว่าเรือของบริษัทที่หายไปนั้น บัดนี้ยังอยู่ดีแต่อยู่ห่างจากที่เดิมออกไปหลายร้อยกิโลเมตร แล้วในวันที่ 12 มีนาคม 1932 ขณะที่นักดักสัตว์และนักสำรวจหนุ่มชื่อ "เลสลี่ เมลวิน" เดินทางด้วยเลื่อนจากเกาะฮอร์เชลจะไปยังโนเม ก็ได้พบเรือเบย์ชิโมกำลังลอยลำเข้าหาฝั่งอย่างสงบ เขาจึงได้ขึ้นไปบนเรือและก็พบว่าสินค้าที่เป็นขนเฟอร์ยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ แต่เขาลำพังตัวคนเดียวเครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ไม่มี


อีกทั้งสถานที่แห่งนั้นก็อยู่ห่างไกลจากฐานปฏิบัติการที่อลาสก้าหลายร้อยกิโลเมตร เขาก็เลยทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เรือลอยไปตามยถากรรมอย่างเดิม อีกหลายเดือนผ่านไป พวกนักร่อนทองกลุ่มหนึ่งแลเห็นเรือเบย์ชิโมเข้า พวกเขาจึงหาทางขึ้นไปบนเรือและได้รายงานไปให้บริษัทฮัตสันเบย์ทราบว่าทุกสิ่งยังอยู่ในสภาพดี

เดือนมีนาคม 1933 เรือเบย์ชิโมได้ลอยกลับมายังที่กัปตันและลูกเรือของเธอได้ทิ้งเธอไป เรือลอยลำอ้อยอิ่งอยู่ในน้ำที่เย็นเยือก พวกเอสกิโมราว 30 คนชวนกันพายเรือคะยัค (เรือที่ทำด้วยหนังสัตว์เย็บติดกับโครงไม้) เข้าไปหา แต่พอขึ้นไปบนเรือก็เกิดพายุร้าย พวกเอสกิโมเลยติดอยู่บนเรือโดยปราศจากอาหารเสียหลายวันก่อนจะกลับลงมาได้ พอถึงเดือนสิงหาคม 1933 บริษัทฮัตสันเบย์ก็ได้ทราบว่าเรือเบย์ชิโนได้ลอยเคลื่อนลำขึ้นไปทางเหนือ แต่ก็ยังอยู่ห่างจากที่มีความเจริญพอให้หาเครื่องไม้เครื่องมือมาทำการกู้เรือกลับคืนได้ เรือเบย์ชิโมได้ต้อนรับผู้มาเยือนอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 1934 คณะสำรวจซึ่งมี มิสอิสโบเซล ฮัตชินสัน นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตร่วมคณะมาด้วยได้แล่นเรือใบสามเสาผ่านมาพบเข้า จึงพากันขึ้นไปตรวจดูบนเรือหลังจากสำรวจดูอยู่สองสามชั่วโมงก็ผละไป ถึงตอนนี้เรือปีศาจสีเทาลำเล็กมีปล่องไฟสูงได้กลายเป็นตำนานที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวเอสกิโมในแถบอาร์คติก และพวกเขาบางคนก็เคยเห็นเรือเบย์ชิโมในบางครั้งบางคราวเสียด้วยซ้ำ ในเดือนกันยายน 1935 เรือเบย์ชิโมได้ไปปรากฏตัวแถวชายฝั่งอลาสก้า เธอสามารถหลบหลีกภูเขาน้ำแข็ง และรอดจากพายุร้ายของแถบขั้วโลกได้อย่างน่าปาฏิหาริย์ ดูว่าธรรมชาติไม่สามารถจะทำอันตรายแก่เธอได้ และมนุษย์ก็ไม่อาจช่วยเธอได้เช่นกัน


มีคนที่พยายามจะช่วยเรือเบย์ชิโมอยู่เหมือนกัน เขาคือ กัปตันฮิว โปลสัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1939 เขาแลเห็นเรือเบย์ชิโมอยู่ห่างจากเรือของเขาในระยะพอสมควร เขาได้ขึ้นไปบนเรือ แต่ก็ไม่สามารถกู้เรือกลับมาได้ ด้วยว่าแพน้ำแข็งได้เคลื่อนเขามาปิดทางไว้หมด


หลังจากปี 1939 ก็มีผู้เห็นเรือเบย์ชิโมอีกหลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นพวกเอสกิโม แต่ก็มีบางครั้งที่ผู้พบเห็นเป็นคนผิวขาวซึ่งมีทั้งนักสำรวจ พ่อค้า และนักบิน ทุกครั้งที่คนเหล่านี้พยายามจะกู้เรือกลับคืนมา ก็ดูเหมือนว่าเรือเบย์ชิโมเองก็พยายามหนีไปได้ทุกคราวเหมือนกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเรือลอยลำโดยไม่มีลูกเรือ ทำตัวเป็นเรือปีศาจที่แท้จริง แล่นไปมาอยู่ตามลำพังในทะเลน้ำแข็งเป็นระยะทางนับหมื่นนับแสนกิโลเมตร


ในเดือนมีนาคม 1962 พวกเอสกิโมกลุ่มเล็ก ๆ ที่กำลังพายเรือคะยัคตกปลากันอยู่ได้แลเห็นเรือเบย์ชิโมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ลอยลำนิ่ง ๆ อยู่แถวชายฝั่งที่เปล่าเปลี่ยวริมทะเลโบฟอร์ต และนี่ก็อีกที่เรืออยู่ในที่ห่างไกลไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือจะกู้กลับคืน พวกเขาจึงต้องปล่อยเธอไว้อย่างนั้น สนิมเริ่มจับ แต่ตัวเรือยังไม่ผุ สามารถลอยลำตามกระแสน้ำไปได้ทุกสารทิศ รายงานครั้งสุดท้ายที่มีผู้เห็นเรือเบย์ชิโมคือเมื่อปี 1969 สามสิบแปดปีนับแต่ที่เธอถูกสละเรือ


พวกเอสกิโมพบเรือเบย์ชิโมอีกครั้ง คราวนี้เรือติดแน่นอยู่กับน้ำแข็งในทะเลโบฟอร์ตระหว่างแหลมไอซี่เคปกับแหลมพอยต์บาร์โรว์ เจ้าพนักงานคนหนึ่งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทอัตสันเบย์ที่วินนีเปกบอกว่าเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าถึงตอนนี้เรือเบย์ชิโมจะยังลอยลำอยู่หรือไม่ เพราะหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปนานเรือก็เก่าลงไปจนไม่คุ้มค่าที่จะกู้คืน บริษัทฯ จึงมิได้ติดตามข่าวสารเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ก็ดูว่าเรือเบย์ชิโมอาจจะยังคงแล่นต่อไปตามลำพัง ดูว่าเรือปีศาจสีเทาลำนี้ไม่ยอมอับปางง่าย ๆ และก็ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของคนเสียด้วย......✎



โดย พาดสาย คอลัมน์ 108 ปริศนา ที่มา : ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 26 ฉบับที่ 308 ประจำเดือนตุลาคม 2543, หน้า 112 - 114.

Comments


Join my mailing list

© 2023 by The Book Lover. Proudly created with Wix.com

bottom of page