✎ปริศนาจากโลงศพฟาโรห์เซติที่ 1
- Hathairat Traithip
- 13 ม.ค. 2561
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 มี.ค. 2561

(คัดลอกบทความจาก เสี้ยวปักษธร คอลัมน์ปริศนาในอดีต ต่วยตูนพิเศษ)
หนึ่งในผลงานชิ้นโบแดงที่ช่างศิลป์ชาวไอยคุปต์ได้รังสรรค์เอาไว้เมื่อราวสามพันกว่าปีก่อนก็คือ "โลงศพ" ของฟาโรห์เซติที่ 1 สกัดจากหินูนอลาบาสเตอร์สีขาว สลักลวดลายวิจิตรงดงามเอาไว้โดยรอบแต่นอกจากความน่าทึ่งของฝีมือช่างศิลป์แล้ว โลงศพชิ้นนี้ยังได้เก็บงำปริศนาบางประการเกี่ยวกับสุสานของฟาโรห์เซติที่ 1 ในหุบผากษัตริย์เอาไว้ด้วย ว่าแต่ความพิศวงที่ว่าจะเป็นอะไรนั้น เราจะมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวของโลงศพ เราคงต้องแนะนำตัวเจ้าของโลงศพซึ่งก็คือฟาโรห์เซติที่ 1 แห่งราชวงศ์ที่ 19 กันก่อน ฟาโรห์องค์นี้อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างนั้นกรณียกิจที่พระองค์ได้กระทำเมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพก็น่าสนใจทีเดียว พระองค์ทำสงครามกับหลากหลายชนเผ่าและประกาศความยิ่งใหญ่เอาไว้บนผนังวิหารคาร์นัค ในเมืองลักซอร์
อีกทั้งพระองค์ยังได้ต่อเติมในส่วนของห้องเสาไฮดปสไตล์ พร้อมด้วยเสาสูงตระหง่าน 134 ต้นอีกด้วย สำหรับที่พำนักแห่งสุดท้ายของพระองค์อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองลักซอร์ บริเวณที่เรียกว่าหุบผากษัตริย์อันเป็นสุสานของเหล่าฟาโรห์ในยุคราชอาณาจักรใหม่ สุสานของพระองค์ได้รับการเรียกขานในยุคปัจจุบันด้วยรหัส KV17 เป็นหนึ่งในสุสานที่สวยงามที่สุดในอียิปต์โบราณด้วยว่าเป็นสุสานแรกสุดที่มีการตกแต่งผนังห้องทุกห้องอย่างวิจิตรงดงาม ในขณะที่สุสานก่อนหน้านั้นมักจะมีการตกแต่งหลัก ๆ เพียงแค่ห้องฝังศพที่อยู่ด้านในสุดของสุสานเท่านั้นเอง
และเจ้าผลงานชิ้นโบแดงที่เป็นพระเอกของเราในครั้งนี้ก็ตั้งอยู่อย่างสงบในห้องฝังศพของฟาโรห์เซติที่ 1 ใน KV17 นี่ล่ะ มันคือโลงศพทำจากหินอลาบาสเตอร์ชิ้นงามนั่นเอง โลงศพนี้สลักเป็นรูปมนุษย์ค้นพบเป็นครั้งแรกโดยนักสำรวจชาวอิตาเลียนนามว่า "เบลโซนี" เมื่อราวปี ค.ศ. 1817 ซึ่งเบลโซนีก็ได้ทำการขนย้ายโลงศพนี้ออกมาจากสุสานของเซติที่ 1 เพื่อทำการเคลื่อนย้ายออกไปยังประเทศอังกฤษ ตอนแรกโลงศพนี้ถูกเสนอขายให้กับพิพิธภัณฑ์อังกฤษ แต่ดูเหมือนว่าราคาจะสูงเกินไปทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษก็เลยปฏิเสธ ซึ่งสุดท้ายผู้ที่ซื้อโลงศพนี้ไปก็คือเซอร์จอห์น โซน โดยว่ากันว่าราคาที่เสนอขายต่อเซอร์โซนนั้นคือสองพันปอนด์อังกฤษ แต่สุดท้ายแล้วจำนวนเงินที่แท้จริงที่เซอร์โซนยอมจ่ายเพื่อซื้อโลงศพนี้สูงถึงสี่พันปอนด์อังกฤษเลยทีเดียว ซึ่งโลงศพนี้ก็ได้ตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เซอร์จอห์น โซนมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับใครที่มีโอกาสได้ไปเยือนกรุงลอนดอนก็สามารถเข้าไปชมความงดงามของโลงศพชิ้นนี้กันได้
โลงศพของฟาโรห์เซติที่ 1 เป็นโลงศพรูปคนที่มีความยาว 2.85 เมตร กว้าง 1.12 เมตร และมีความหนาของผนังโลงศพอยู่ที่โดยเฉลี่ยแล้วราว ๆ 6.3 ถึง 10 เซนติเมตร ผนังโดยรอบสลักคัมภีร์ที่มีชื่อว่า "คัมภีร์แห่งประตู" ซึ่งเดิมทีนั้นเคยลงสีฟ้าสดใสเอาไว้ แต่ด้วยผลจากสภาพอากาศในกรุงลอนดอนที่ผ่านมาเกือบสองร้อยปีก็ทำให้ในปัจจุบันสีได้หลุดลอกออกไปหมดแล้วอย่างน่าเสียดาย นั่นจึงทำให้อักขระในบางส่วนของโลงศพไม่สามารถอ่านได้ หรือบ้างก็ถอดความได้ยากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนั้นแล้ว เดิมทีสีหินของโลงศพนี้เป็นสีขาวกึ่งโปร่งแสง แต่ด้วยสภาพอากาศอีกเช่นกันจึงทำให้ในปัจจุบันสีของหินเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ายสีเปลือกไข่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความงดงามเอาไว้ได้ไม่น้อย
ในช่วงปี ค.ศ. 2008 ก็ได้มีการทำความสะอาดโลงศพของฟาโรห์เซติที่ 1 โดยทีมงานจากทางพิพิธภัณฑ์โซนและพิพิธภัณฑ์อังกฤษ โดยวิธีทำความสะอาดก็ได้ใช้ทั้งแปรงและฟองน้ำซึ่งหลังจากทำความสะอาดแล้วก็ได้พบกับเบาะแสที่นำไปสู่ "ปริศนา" ที่โลงศพนี้ได้ซุกซ่อนเอาไว้ในที่สุด เบาะแสที่ว่านั้นก็คือมีการพบ "รอยเปื้อน" สีน้ำตาลและนอกจากนั้นยังมีหลักฐานของฟองอากาศที่แห้งกรังติดอยู่ด้านนอกของโลงศพด้วย ซึ่งทางทีมงานของพิพิธภัณฑ์ก็ยืนยันว่ามันเป็นรอยเปื้อนที่มีมาตั้งแต่แรกในสมัยที่เบลโซนีนำมาเสนอขายแล้ว ไม่ได้เพิ่งเกิดแต่อย่างใด ดังนั้นแปลว่ามันน่าจะมีรอยเปื้อนจากน้ำมันหอมหรือขี้ผึ้งในสมัยโบราณที่ถูกเทลงมาบนโลงศพในระหว่างประกอบพิธีกรรมฝังศพจึงทำให้มันเปื้อนอยู่ด้านนอกของโลงดังที่เห็น
นอกจากรอยเปื้อนด้านนอกแล้ว ยังมีรอยเปื้อนแบบเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ที่ด้านในของโลงศพด้วยเช่นกัน ซึ่งบริเวณพื้นด้านในของโลงศพฟาโรห์เซติที่ 1 นี้ประดับไปด้วยภาพของเทพีนูด ซึ่งเป็นเทพีแห่งท้องฟ้า เพื่อสื่อว่าฟาโรห์เซติที่ 1 จะได้เสด็จขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ลงไป ซึ่งรอยเปื้อนสีน้ำตาลที่คาดว่ามาจากน้ำมันหอมหรือขี้ผึ้งนี้ก็ได้ปรากฏอยู่ที่ภาพของเทพีนูดบริเวณผิวด้านล่างของโลงเช่นกัน ว่าแต่รอยเลอะด้านในของโลงได้บอกอะไรกับเราบ้าง คำตอบก็คือมันหมายความว่ามีการเทน้ำมันหอมลงมาด้านในโลงศพหิน ซึ่งชาวอียิปต์โบราณก็ไม่ได้เทลงมาเฉย ๆ แต่เทลงบน "โลงศพไม้" อีกโลงหนึ่งที่วางซ้อนอยู่ด้านใน
ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับโลงศพของยุวฟาโรห์ตุตันคาเมนกันมาบ้าง ด้วยว่าโลงของพระองค์นั้นไม่ได้มีชั้นเดียว แต่มีหลายชั้นวางซ้อน ๆ กันโดยมีขนาดที่ลดหลั่นกันไปโดยชั้นในสุดเป็นทองคำแท้น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม และแน่นอนว่าโลงศพของฟาโรห์เซติที่ 1 ก็ต้องซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นแบบนี้เช่นกัน ซึ่งโลงศพไม้ของพระองค์ก็ได้วางอยู่ด้านในโลงศพหินอลาบาสเตอร์นี้ และนักบวชก็ได้เทน้ำมันหอมลงบนโลงศพไม้จนมันได้ไหลมาเลอะภาพของเทพีนูตที่พื้นของโลงศพหินดังกล่าว
จะว่าไปแล้วสำหรับชาวอียิปต์โบราณนั้น พวกเขาก็ให้คำนิยามของ "โลงศพ" และ "โลงศพหิน" เอาไว้ต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งคำว่า โลงศพเฉย ๆ นั้นมักจะหมายความถึงโลงแบบสีเหลี่ยมหรืออาจจะเป็นโลงรูปคนที่ชาวอียิปต์โบราณเอาไว้ใช้บรรจุมัมมี่ ส่วนโลงศพหินนั้นก็หมายความถึงโลงที่ทำจากหินและภายในใช้บรรจุโลงศพอีกทอดหนึ่ง ว่าแต่โลงศพที่ทำจากอลาบาสเตอร์นี้มันเข้าข่าย "โลงศพ" หรือ "โลงศพหิน" กันแน่ถ้าว่ากันตามนิยามของนักอียิปต์วิทยาแล้วนั้น "โลงศพหิน" มักจะหมายถึงโลงศพที่ทำจากหินแกร่งเช่นหินแกรนิตหรือหินควอตซ์ ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าโลงศพหินอลาบาสเตอร์ของฟาโรห์เซติที่ 1 นี้น่าจะเข้าข่ายของ "โลงศพ" มากกว่า "โลงศพหิน" ก็เป็นได้
อีกทั้งถ้าลองมองจากพิธีกรรมความเชื่อในสมัยอียิปต์โบราณก็พบว่ามันแปลกอยู่เช่นกัน เพราะว่าชาวอียิปต์โบราณมักจะเทน้ำมันหอมลงบน "โลงศพ" แต่จะไม่เทลงบน "โลงหิน" แต่อย่างใด ดังนั้นการที่ด้านนอกของโลงศพหินอลาบาสเตอร์ของฟาโรห์เซติที่ 1 มีรอยเปื้อนจากน้ำมันหอมจึงเป็นเบาะแสสำคัญที่นำไปสู่ปริศนาในครั้งนี้ เกริ่นมายืดยาวหลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่าปริศนาสำคัญที่ว่านั้นคืออะไร แน่นอนว่าถ้าโลงศพหินอลาบาสเตอร์มีรอยเปื้อนอยู่ด้านนอก แปลว่าโลงนี้ต้องเคยถูกวางซ้อนอยู่ในโลงศพหรือโลงศพหินอีกโลงหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าและชาวอียิปต์โบราณก็ได้เทน้ำมันหอมลงไปด้านบนจึงทำให้มันเปื้อนที่ผิวด้านนอก คำถามก็คือแล้วโลงศพหินใบที่ใหญ่กว่านั้นตอนนี้มันอยู่ที่ไหนกัน
ในช่วงปี ค.ศ. 2008 นั้นการสำรวจสุสาน KV17 แห่งนี้ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ดี เพราะมันยังมีอุโมงค์ปริศนาหรือที่เรียกกันในแวดวงอียิปต์วิทยาว่า "ระเบียงทางเดิน เค" (Corridor K) ปรากฏอยู่ที่พื้นของห้องฝังศพที่เบลโซนีพบโลงศพหินนี้
ระเบียงทางเดิน เคเป็นช่องทางเดินที่ชาวอียิปต์โบราณขุดเจาะลึกลงไปใต้ชั้นหิน แต่สภาพของอุโมงค์นั้นย่ำแย่มาก มันพร้อมที่จะถล่มได้ทุกเมื่อดังนั้นจึงทำให้ในช่วงแรกยังไม่มีใครสามารถสำรวจลงมาถึงปลายอุโมงค์ได้สำเร็จ นั่นจึงมีการเสนอกันว่าบางทีอุโมงค์แห่งนี้อาจจะนำพวกเราไปสู่ "ห้องฝังศพที่แท้จริง" ของฟาโรห์เซติที่ 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโลงศพหินที่ใหญ่กว่าที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้ แต่ระหว่างนั้นก็มีคนตั้งข้อสันนิษฐานที่ดูสมเหตุสมผลเรื่องโลงศพหินที่หายไปของฟาโรห์เซติที่ 1 ขึ้นมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บางทีโลงศพหินที่เห็นอยู่นี้อาจจะเป็นโลงที่อยู่ชั้นนอกสุดแล้วหรือเปล่า ถึงยังไม่มีการค้นพบโลงศพหินอีกโลงหนึ่งที่ใหญ่กว่า เพราะมันอาจจะไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก
แต่จากการเปรียบเทียบกับรูปแบบการฝังศพของฟาโรห์ในยุคที่ร่วมสมัยกับฟาโรห์เซติที่ 1 ก็พบว่าสุสานของฟาโรห์ในสมัยนั้นมักจะพบหลักฐานของโลงศพหินที่ทำจากหินแกรนิตหรือหินควอตซ์แทบทั้งสิ้น ทำให้มีการสรุปกันในเบื้องต้นว่าเหล่าฟาโรห์ล้วนแล้วแต่ต้องมีโลงศพหินอย่างน้อยสองโลงเช่นโลงหนึ่งทำจากอลาบาสเตอร์ และอีกโลงหนึ่งทำจากหินตที่แกร่งกว่า เช่นนั้นจึงหมายความว่าฟาโรห์เซติที่ 1 ก็ควรจะต้องมีโลงศพหินอีกโลงหนึ่งด้วยเช่นกัน
ถ้าดูจากบันทึกของเบลโซนี เรามั่นใจได้แน่นอนว่าในวันที่เขาค้นพบสุสาน KV17 ในปี ค.ศ. 1817 นั้น เขาพบเพียงแค่โลงศพหินอลาบาสเตอร์นี้เท่านั้น นั่นแปลว่าในวันที่เบลโซนีกำลังสำรวจสุสานของฟาโรห์เซติที่ 1 นั้น โลงศพหินชิ้นที่ใหญ่กว่าก็ไม่ได้อยู่ในนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว นั่นทำให้นักวิชาการอีกจำนวนหนึ่งตั้งข้อสันนิษฐานว่า ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นไปได้ไหมที่มันจะถูกนำเอาไปใช้ใหม่โดยฟาโรห์ในยุคหลังแล้ว เพราะว่าในช่วงราชวงศ์ที่ 21 ยุครอยต่อระยะที่ 3 ที่หุบผากษัตริย์ไม่ได้ถูกใช้งานแล้วนั้น ฟาโรห์ซือมุนได้ทำการขนย้ายมัมมี่พระศพของเหล่าฟาโรห์ในหุบผากษัตริย์ออกไปฝังยังสุสานลับที่เดียร์ เอล-บาหรีย์ รหัสสุสาน DB320 ในปีการครองราชย์ที่ 10 ซึ่งมัมมี่พระศพของฟาโรห์เซติที่ 1 ก็ถูกขนย้ายออกมาเช่นกัน
โดยมีหลักฐานเขียนเอาไว้บนโลงศพไม้ของฟาโรห์ เซติที่ 1 ว่าฟาโรห์ซือมุนได้ย้ายพระศพของเซติที่ 1 ออกมาในวันที่ 17 เดือนที่ 4 ของฤดูหนาวปีที่ 10 ของการครองราชย์ของซือมุน ซึ่งการขนย้ายโลงศพและมัมมี่ของเซติที่ 1 น่าจะดำเนินการในช่วงราว 968 ปี ก่อนคริสตกาล และเมื่อเทียบกับปีการสิ้นพระชนม์ของเซติที่ 1 ที่อยู่ในช่วงราว 1,278 ปีก่อนคริสตกาลแล้วก็พบว่าพระศพของพระองค์ไม่ถูกรบกวนเป็นระยะเวลาราว 300 ปีในสุสานของพระองค์เองที่ KV17 ก่อนที่จะถูกซือมุนขนย้ายออกมาในที่สุด และนั่นจะเป็นไปได้ไหมว่าโลงศพหินที่ใหญ่กว่าของเซติที่ 1 ก็จะถูกขนย้ายออกมาในช่วงนี้ด้วยและถูกนำไป "ใช้ซ้ำ" โดยฟาโรห์องค์อื่นแล้ว
ตรงนี้เป็นประเด็นที่สนใจ แต่เมื่อนักอียิปต์วิทยาอ่านบันทึกของเบลโซนีดี ๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการนำเอาโลงศพหินแกรนิตขนาดใหญ่อย่างที่เคยเห็นกันในสุสานของฟาโรห์องค์อื่น ๆ ออกมาจากสุสานของเซติที่ 1 เพราะจากบันทึกของเบลโซนีได้กล่าวเอาไว้ว่า เขาได้ "คลาน" เข้าไปในสุสาน ผ่านทางช่องเล็ก ๆ ที่ถูกเจาะเอาไว้บนผนังของห้องที่เรียกว่า "ห้องบ่อน้ำ" ซึ่งเป็นหลุมลึกที่นักอียิปต์วิทยาเสนอว่าเอาไว้ตักน้ำที่ไหลเข้ามาในสุสานไม่ให้เข้าไปทำลายห้องด้านใน แต่บ้างก็บอกว่าอาจจะเอาไว้ดักโจรหรืออาจะเป็นห้องที่มีความสำคัญทางตำนานความเชื่อในโลกหลังความตายบางประการของชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เบลโซนีได้บันทึกเอาไว้ก็คือประโยคที่ว่า "ผมเห็นว่าทางฝั่งตรงข้ามของหลุมลึกในห้องบ่อน้ำซึ่งหันหน้าไปยังฝั่งทางเข้ามีเพียงแค่ช่องเล็ก ๆ กว้างสองฟุตและสูงสองฟุตหกนิ้ว..."
นอกจากนั้นเขายังได้บันทึกเอาไว้อีกด้วยว่า "ส่วนของผนังเหนือหลุมนี้จารึกด้วยรูปภาพต่าง ๆ ตั้งแต่พื้นสูงขึ้นไปจรดเพดาน" นั่นหมายความว่าเบลโซนีได้คลานเข้าไปด้านในสุสานผ่านช่องเล็ก ๆ นี้ซึ่งเล็กกว่าโลงศพหินอลาบาสเตอร์ของเซติที่ 1 ที่ตั้งอยู่ด้านในเสียอีก และด้วยว่าภาพสลักที่ปรากฏในวันที่เบลโซนีเข้าไปในสุสานยังคงเป็นของแท้ดั้งเดิม นั่นจึงหมายความว่ากำแพงที่มีช่องเล็ก ๆ นี้ไม่ได้ถูกทำขึ้นใหม่แต่อย่างใด เราจึงสามารถที่จะสรุปในเบื้องต้นได้ว่าโลงศพหินที่ใหญ่กว่าของฟาโรห์เซติที่ 1 ก็ไม่น่าจะเคยถูกขนย้ายออกไปจากสุสานแห่งนี้ตั้งแต่ครั้งโบราณด้วยเช่นกัน
ถ้าเช่นนั้นแล้วโลงศพหินที่ใหญ่กว่าของฟาโรห์เซติที่ 1 ตั้งอยู่ที่ใด นั่นจึงนำไปสู่แนวคิดที่ว่าบางทีอุโมงค์ปริศนาหรือที่เรียกว่าระเบียงทางเดิน เค อาจจะนำพวกเราไปสู่ห้องลับหรือไม่ก็มันอาจจะเป็นห้องฝังศพที่แท้จริงของฟาโรห์เซติที่ 1 ก็เป็นได้ ทว่าสุดท้ายแล้วในปี ค.ศ. 2010 อุโมงค์แห่งนี้ก็ถูกสำรวจจนถึงปลายทางจนได้ โดยทีมงานของ ดร.ซาฮี ฮาวาสส์ เจ้าเก่าของเรานี่ล่ะ จากการสำรวจพบว่าอุโมงค์ที่เรียกว่า ระเบียงทางเดิน เค แห่งนี้มีความยาวทั้งสิ้น 174 เมตร ระหว่างทางที่ขุดสำรวจก็พบโมเดลเรือเล็ก ๆ รูปปั้นซับติ และเศษเครื่องปั้นดินเผาที่ระบุช่วงอายุได้ในราชวงศ์ที่ 18 อีกด้วย และสิ่งที่ทีมของดร.ฮาวาสส์ได้ค้นพบที่สุดปลายทางของอุโมงค์ก็คือ "ประตูปลอม" ที่จารึกข้อความด้วยอักษรเฮียราติก ถอดความได้ว่า "เคลื่อนเสาข้างประตูขึ้นและขยายทางเดินให้กว้างออกไปอีก" นั่นก็หมายความว่าระเบียงทางเดิน เค แห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จดีและถูกล้มเลิกไปกลางคันเสียก่อน โดยที่สุดปลายของอุโมงค์นี้ก็ไร้ซึ่งวี่แววของโลงศพหินที่ใหญ่กว่าของฟาโรห์เซติที่ 1 ที่เรากำลังตามหาอยู่ด้วยเช่นกัน
จากรอยเปื้อนบนโลงศพหินของฟาโรห์เซติที่ 1 ในพิพิธภัณฑ์โซน ทำให้มีการเสนอกันว่ามันน่าจะมีโลงศพหินที่ใหญ่กว่าอีกโลงหนึ่งซุกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งใน KV17 และนั่นอาจจะนำพาพวกเราไปสู่ห้องลับหรือไม่ก็อาจจะเป็นห้องฝังศพที่แท้จริงของพระองค์ที่เคยเชื่อกันว่ามันคือสุดปลายทางของอุโมงค์หรือระเบียงทางเดิน เค ก็เป็นได้ แต่เมื่อปี 2010 ดร.ฮาวาสส์ก็ได้เฉลยแล้วว่าที่ปลายอุโมงค์นั้นไร้ซึ่งวี่แววโลงศพหินของฟาโรห์เซติที่ 1 นอกจากนั้นก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีห้องฝังพระศพลับตั้งอยู่ที่ปลายระเบียงทางเดินที่ยังสร้างไม่เสร็จดีนี้อย่างที่เคยเสนอกันมาแต่อย่างใดอีกด้วย เช่นนั้นแล้วโลงศพหินที่ใหญ่กว่านั้นมันไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหน มันจะยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้ในห้องลับที่ยังไม่ถูกค้นพบในสุสานของเซติที่ 1 หรือไม่ มันจะแตกหักเสียหายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนถูกขนย้ายออกมาผ่านทางช่องเล็ก ๆ ที่เบลโซนีได้บันทึกเอาไว้ตั้งแต่ครั้งโบราณแล้วหรือเปล่า หรือแท้ที่จริงแล้วมันจะไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยตั้งแต่แรกกันแน่
ดูเหมือนว่าการหายไปอย่างลึกลับของโลงศพหินแห่งฟาโรห์เซติที่ 1 จะยังคงเป็นปริศนาให้นักอียิปต์วิทยาได้ขบคิดกันต่อไปอีกนานแสนนาน.......✎

โดย เสี้ยวปักษธร คอลัมน์ปริศนาในอดีต ที่มา : ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 42 ฉบับที่ 496 เดือนมิถุนายน 2559, หน้า 25-30.
Comments