top of page

✎ ขันธ์ครูมีจริงหรือหลอกลวง

  • รูปภาพนักเขียน: Hathairat Traithip
    Hathairat Traithip
  • 13 ม.ค. 2561
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 2 มี.ค. 2561


(บทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล มิได้มีเจตนาพาดพิงหรือลบหลู่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)


เรื่องการขับไล่ผีนี้ เป็นเรื่องความบังเอิญในพิธีกรรมหนึ่ง เริ่มจากนางศรีนวล เศรษฐีนีย่าน อ.บางบัวทอง แม้จะร่ำรวยมีเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากมาย หากในชีวิตประจำวันนั้นแทบหาความสุขไม่ได้


ด้านครอบครัวนางศรีนวล สมรสกับนายทองเอก มีบุตรธิดารวม ๔ คน ลูกเขย ลูกสะใภ้พักอาศัยในร่มไม้ชายคาเดียวกัน ปลูกเป็นบ้านคนละหลังบนผืนดินจำนวน ๕ ไร่ที่รายล้อมด้วยถนนหนทางและบ้านจัดสรรสมัยใหม่ โดยบ้านของนางศรีนวลที่ดิฉัน (เจ้าของบทความ) ไปเยี่ยมเยือนบ่อยครั้งนี้คงเป็นบ้านกลางสวนในลำดับท้าย ๆ ที่ยังเหลืออยู่ของเมืองนนทบุรี ทั้งนี้ความสัมพันธ์ของดิฉันกับศรีนวลนั้น เราเป็นเพื่อนเรียนกันตั้งแต่สมัยชั้นประถมของโรงเรียนป่าไม้อุทิศ จน ณ ปัจจุบันอายุอานามจวนเจียนอยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง


เมื่อศรีนวลมีความทุกข์ใจอันใด ดิฉันเป็นคนลำดับต้น ๆ ที่รับรู้ รับฟังเรื่องราวของเธอ อาทิ เมื่อไม่นานมานี้ ราวกลางเดือนพฤษภาคม ศรีนวลชวนพูดคุยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี


"ตอนนี้ลูกชายกับลูกเขยทะเลาะกัน เครียดมาก" เมื่อไถ่ถามถึงสาเหตุ


"ก็ไม่รู้เป็นอย่างไร พักหลัง ๆ นี้สองคนนั้นมันพูดจาไม่เข้าหูกันเสียเลย ประการสำคัญ ตัวพี่สาวก็พาลรังเกียจน้องชาย น้องสะใภ้ หาว่าไม่เคารพเสียอีก เป็นอย่างนี้ทุกวัน บางคราวเรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น ครอบครัวเรานั้นอับ ๆ อย่างไรก็บอกไม่ถูก พอเรื่องนี้หยุด เรื่องนั้นเกิดเป็นอย่างนี้มา ๒-๓ เดือนแล้ว สมัยก่อนไม่เคยมีปัญหา ถือว่าแปลกมาก


"อ้อ! ช่วยถามหน่อยเถิดถือว่าเอาบุญ หมอดูที่ไหนที่แม่น ๆ และไม่เห็นแก่เงินทองจนน่าเกลียด เจอที่ไหนขอให้บอกเราด้วย"


ซึ่งศรีนวลได้เล่าถึงอาการเข็ดขยาดจากหมอดูชื่อรายหนึ่งที่ออกโทรทัศน์บ่อย ๆ เธอเคยเชิญให้มาดูที่บ้าน แต่เรียกร้องให้ดูเป็นจุด ๆ ของบ้าน และวิธีแก้ไขจุดละ ๕,๐๐๐ บาท นี่ยังไม่รวมถึงคนเป็น ๆ อีกหลายชีวิต


ศรีนวลโอดครวญว่าเงินเธอก็มีค่า แค่หมอดูชี้จุดให้ย้ายตรงนั้น รื้อตรงนี้ เบ็ดเสร็จไม่ถึงชั่วโมงรับเงินไปหมื่นห้าค่าดู หมอเอ่ยปากเรียกเองก่อนกลับเสียด้วย เพื่อนเลยพูดไม่ออก คิดเสียว่าเป็นค่าดังของหมอดูผู้นั้นไป ทั้งที่ขณะพูดคุยกัน ดิฉันได้เห็นผู้หญิงสูงวัย ผมขาวเต็มศีรษะ แม้เกล้าผมเป็นมวยขึ้นสูง แต่เส้นผมนั้นดูยุ่งเหยิงช่างเข้ากันกับเสื้อและผ้าถุงสีเก่ามอของเธอนัก


"นั่นใครหรือศรีนวล"


"อ๋อ เป็นลูกผู้พี่ของเราเอง แกเพิ่งเลิกกันกับผัวคนลำนารายณ์ ไม่มีที่อยู่ก่อนย้ายไปอยู่กับผัวก็ขายที่ทางไม่เหลือแล้ว แกโทรศัพท์มาเล่าว่าไม่มีที่ไป ให้เราไปรับ ก็เลยให้แกมาอยู่ที่เรือนท้ายสวนแม้ยุงจะเยอะหน่อย แต่ก็ร่มเย็น"


ซึ่งวันนั้นที่ศรีนวลเล่าให้ฟัง ฟังแล้วก็ให้ผ่านเลยไป สบต่อมาเมื่อดิฉันเดินทางไปวัดหรือสถานปฏิบัติธรรมที่ไหน ก็ไม่ลืมที่จะถามไถ่ผู้มีครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บางท่านที่พบครูบาอาจารย์จากสมาธิ ส่วนใหญ่จะทักและชี้แนะผู้ที่ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน โดยไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งนี้ตัวดิฉันนั้นมีครูอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิง แม้เธอจะอายุน้อยกว่านับสิบปี (อายุอาจารย์ประมาณ ๔๕ ปี) แต่ก็กราบไหว้ด้วยอาการสนิทใจ


ย้อนกลับไป ๑๕ ปีที่แล้ว อาจารย์หญิงท่านี้เธอไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ตลอดระยะเวลาไม่เคยกลับเมืองไทยเลย และเมื่อถึงเวลากลับเมืองไทย จิตแรกที่สัมผัสคิดก็คืออยากบวช หรือถือศีล นุ่งขาวห่มขาวอะไรก็ได้ อาจารย์มีอาการร้อนรนอยู่ในใจ ซึ่งแทนที่พ่อแม่จะได้เห็นการกลับมาอย่างโก้หรูของลูก หากกลับต้องดั้นด้นไปพบลูกที่ถือศีล ๘ ที่ จ.เชียงราย


อาจารย์เล่าว่า เมื่อหลับตาทำสมาธิ ใจก็นิ่งทันที ไม่มีอาการวอกแวกแต่อย่างใด ต่อมาอาจารย์ก็ได้อักขระเป็นคาถาไว้ป้องกันตัว เป็นอักขระที่มาจากธรรมชาติ เป็นคาถาจากเมืองบาดาล ครั้งแรกที่ฟังผู้อื่นเล่าถึงตอนนี้ และอาจารย์เป็นผู้เปิดปากเอ่ยถึงอักขระคุ้มภัย ดิฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ลบหลู่แต่อย่างใด


เมื่อพบอาจารย์ผู้หญิงท่านนี้อีกครั้งในต้นเดือนกรกฎาคม จึงเอ่ยปากเล่าถึงปัญหาครอบครัวของศรีนวลให้อาจารย์ช่วยเมตตานั่งดู เนื่องจากเหตุร้าย ๆ ค่อยคืบคลานสู่ครอบครัวเพื่อนคนนี้อย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ลูกชายกับลูกเขยของเธอปกติเมื่อเลิกงานจะนั่งดื่มเบียร์กันคนละขวดสองขวด นั่งรับประทานข้าวด้วยกัน มีอะไรก็ปรึกษาพูดคุยกัน


หากมาระยะหลังเริ่มได้ยินเสียงก่นด่า ถึงขั้นเคยไล่ฟัน ไล่ยิงกันก็เคย ทุกเรื่องราวแม้เริ่มต้นด้วยดี แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการเกิดเรื่องเป็นอย่างนี้ทุกคืน ในส่วนของคุณทองเอกสามีของศรีนวลนั้น มาระยะหลังก็คงเครียดกับลูกชาย ลูกเขยที่บ้าน จึงออกไปเที่ยวเตร่หาเศษหาเลยนอกบ้านบ้าง กลับเข้าบ้านก็ล่วงเข้าตี ๒ ตี ๓ วัยของคุณทองเอกนั้น ๕๙ ปี คนสมัยนี้ดูไม่แก่นัก ดิฉันอธิบายเล่าเรื่องต่าง ๆ ของศรีนวลให้อาจารย์รับทราบ อาจารย์ท่านนั่งหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้น


"ในบ้านของเพื่อนคุณพี่ นอกจากคนในครอบครัว ลูกหลานแล้ว ยังมีคนมาขออยู่อาศัยด้วยใช่ไหม?" เมื่อตอบไปว่า หญิงวัย ๖๐ ปีคนนี้เป็นเป็นลูกผู้พี่ของศรีนวลอีกที เธอเลิกกับสามีมาขออาศัยอยู่กับศรีนวล


"หากภาพที่อาจารย์เห็นอยู่ขณะนี้นะคะ" อาจารย์ท่านหลับตาอีกครั้งก่อนเอ่ยขึ้นว่า


"เธอเป็นคนมีผมสีขาว ยาวรุงรัง เนื้อตัวเธอสกปรก มีฟัน และเล็บที่ดำยาว ไม่ต่างกับวิญญาณ เพราะในกายเธอมีวิญญาณหญิงแก่สกปรกสิงอยู่อีกทีค่ะ"


"วิญญาณหญิงแก่นั้นมาอยู่กับเธอได้อย่างไร?"


"มากับขันธ์ครูที่เธอรับล่ะค่ะ เท่าที่เห็น มีวิญญาณวนเวียนอยู่รอบตัวเธอถึง ๗-๘ ตน ส่วนที่สิงในตัวเธอจนแทบจะแทนร่างได้นั่นคือหญิงแก่สกปรก คงแฝงมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว มิน่าเล่า เธอคนนี้ถึงอยู่กับครอบครัวเธอไม่ได้ เมื่อครอบครัวแตกแยกเพราะวิญญาณ ครั้นเมื่อย้ายมาอยู่กับน้องสาวก็พานเอาความทุกข์มาให้น้องสาวอีก คงพาขันธ์อะไรมาบูชาตามความเชื่อด้วย"


ซึ่งขณะนั้นดิฉันยังไม่ทราบที่มาที่ไปว่าพี่สาวศรีนวลรับขันธ์อะไรมาแต่อย่างใด ซึ่งอาจารย์ได้ขยายความเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อเรื่องขันธ์ครู ดังนี้


"แท้จริงแล้ว ไม่มีหรอกค่ะขันธ์ครูที่รับจากร่างทรงแล้วจะร่ำรวย ร่างทรงก็คือสัมภเวสีชั้นสูงที่ต้องการสร้างบารมี เมื่อครอบร่างแรกไม่ได้ ก็จะให้สัมภเวสีบริวารให้มาอาศัยกับลูกศิษย์คนต่อ ๆ ไป ตามแต่จะเลือก เอาขันธุ์ครูที่อ้างมาเป็นตัวแทนการกราบไหว้ และวิญญาณก็เหมือนกับคนเรานะคะ ที่เจอคนดีก็ดีไป เจอคนชั่วก็พากันลงเหว คุณป้าคนนี้เธอคงรับขันธ์มาแล้วพาทิ้งขว้างไม่ดูแล และใช่ว่าเมื่อท้อทิ้งเขาแล้วเขาจะไม่อยู่กับเรานะคะ


เขายังวนเวียนติดตามคนที่รับตลอดเวลา เนื่องจากเราสัญญา รับปากกับไว้อย่างไรคะ เมื่อเพ่งดูแล้ว ขันธ์ที่คุณป้าเธอไปลอยน้ำก็มีอยู่หลายใบ ไปลอยเฉย ๆ โดยไม่ทำบุญ ทอดผ้าไตรจีวร ให้เขาไปเกิดอย่างถูกวิธี อย่างนี้ผีก็กลั่นแกล้งให้สิคะ"


ต่อมาอาจารย์นั้นให้ดิฉันติดต่อไปที่ศรีนวล ถามศรีนวลก่อนว่าเปิดใจที่จะให้อาจารย์เข้าไปดูที่บ้านไหม เมื่อทราบความเลา ๆ ก็ให้ใจร้อน จึงโทรศัพท์ต่อสายตรงถึงศรีนวล เล่ารายละเอียดที่อาจารย์ทักให้เพื่อนฟังทันที ศรีนวลเล่าย้อนว่า "เออ ที่พี่ดาเธอขนมาเราเห็นมีขันน้ำ มีบายศรีอยู่ในขัน ๓-๔ ใบอยู่นะ แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องลุกลามถึงครอบครัวเราได้"


เมื่อถามอาจารย์ออกไป ท่านตอบ


“เนื่องจากอยู่ในอาณาเขตบริเวณเดียวกัน ในเมื่อมีคนพาเข้ามาแล้ว ทำไมวิญญาณเหล่านี้จะเข้ามาไม่ได้ ก็ตามตัวพี่สาวคุณนวลมานั่นอย่างไร วิญญาณทุกตัวกายนั้นประชิดติดสังขารเธอแล้วดั่งที่บอก แทบจะเป็นคน ๆ เดียวกันแล้วทุกวันนี้ จากแต่ก่อนเธอเป็นคนช่างแต่งตัวแต่ตอนนี้เธอเป็นคนที่ปล่อยปละละเลยต่อทุกสิ่ง ลูกผัวไม่สนใจ ใช่หรือไม่?"


ศรีนวลเธอยอมรับว่าเป็นความจริงทุกประการ ที่พี่สาวเธอต้องมีครอบครัวที่แตกแยก เนื่องจากชอบหมกมุ่นกับเรื่องผีเจ้าเข้าทรงนั่นเอง

ตกลงวันนั้นศรีนวลเปิดใจขอความอนุเคราะห์ให้อาจารย์เข้ามาดูที่บ้านเธอจะให้แก้ไขอย่างไร ในวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคมถัดมาเป็นการนัดกันล่วงหน้า โดยวันที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์คือวันที่ ๒ กรกฎาคม


ต่อมาคุณศรีนวลได้โทรศัพท์มาเล่าว่า นับตั้งแต่พูดคุยทางโทรศัพท์นัดหมายผ่านตัวดิฉันในวันนั้น อยู่ ๆ พี่สาวของเธอก็จุดธูป ๑ ดอก เมื่อธูปหมดก็จุดต่อ จุดทั้งวันทั้งคืน ศรีนวลฝากดิฉันถามกับอาจารย์ว่าหมายความว่าอย่างไรสำหรับอาการพี่สาวเธอ เมื่อทราบดังนั้นอาจารย์เฉลยว่า


"วิญญาณที่อยู่ในตัวคุณป้า เขารู้ว่าจะมีคนมาขอร้องให้เขาจากไป โดยส่งให้ไปสู่ภพภูมิของเขาด้วยการเปิดผ้าไตรจีวร ขอขมากรรมซึ่งกันและกัน หากดวงวิญญาณนั้นคงมืดบอด ยังไม่คิดที่จะออกจากร่างนี้จึงคิดมาต่อต้านแสดงอาการอื่น ๆ ให้เห็นอย่างออกหน้าออกตา ไม่มีอะไรที่น่าหนักใจ"


ครั้นเมื่อถึงวันเข้าพิธีจริง โดยก่อนที่จะทำการใด ๆ อาจารย์ต้องกระทำต่อหน้าพระพุทธและอักขระที่อาจารย์สวดดั่งที่อาจารย์เคยบอกเล่า เป็นอักขระสายบาดาล ที่ได้รับจากบารมีของพ่อปู่ศรีสุทโธและแม่ย่าศรีปทุมมาวดี วันนั้นครอบครัวคุณศรีนวล ลูกหลานเปิดใจเข้าพิธีอยู่ในวงล้อมสายสิญจน์กันครบถ้วน คงมีแต่คุณสุดา ซึ่งเป็นพี่สาวศรีนวลนั่งบ่นอยู่บนเก้าอี้สูงกว่าบุคคลทั่วไป เธอมีกิริยาตาขวาง เม้มปากเม้มคอให้เห็นอยู่เนือง ๆ


ระหว่างที่อาจารย์นั่งสวด ซึ่งการรับฟังคำสวดอักขระของอาจารย์กินเวลานานนับชั่วโมง ไม่มีใครมีปฏิกิริยาใด ๆ นอกจากคุณสุดา


ต่อจากนี้เป็นการบันทึกเสียงคำต่อคำระหว่างอาจารย์และป้าสุดา เมื่อการสวดอักขระแล้วเสร็จ


"ลงมานั่งในวงสายสิญจน์ร่วมกันก็ได้ ไม่มีใครกีดกันเธอนะ"

"ไปทำไม นั่งนี่สบายดีอยู่แล้ว" คุณสุดาพูดไปกระดิกเท้าไป

"ที่มาวันนี้ เพื่อมาช่วยเหลือครอบครัวนี้ พวกเธอมาอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ กลับไปในที่ของเธอเสียเถิด เดี๋ยวฉันจะส่งไปตามภพตามภูมิกับผ้าไตรจีวรผืนนี้" คุณสุดาทำตาขวาง ร่างกายขึงขังผิดคนแก่

"กูไม่ไป"

"ต้องไป เพราะเจ้าของร่างเขาเป็นมนุษย์ เธอจะเอาร่างมาประชิดติดสังขารได้อย่างไร"

คุณสุดาวางท่าท้าทายอยู่อย่างนั้นเพียงแต่ไม่พูด อาจารย์เริ่มสวดอักขระอีกครั้ง คราวนี่แว่วว่าได้อัญเชิญเจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดนนทบุรี มาให้ช่วยกำกับเป็นสักขีพยานการขับไล่ อาจารย์สวดไปใบหน้ามีสีแดงขึ้นราวลูกตำลึง

"จะไปหรือไม่ไป"

"กูไม่ไป"

"กูจะให้เจ้าพ่อหลักเมืองตีแสกหน้ามึง" สิ้นคำอาจารย์

"กูไปก็ได้"

เมื่อพูดจบ คุณสุดาเดินลงไปบ้านเล็กของเธอ อุ้มขันธ์ครูตามความเชื่อมาถึง ๓ ใบ วางต่อหน้าอาจารย์และนั่งกับพื้นเหมือนกับทุกคน

"จะทำอย่างไรก็ทำ ยอมแล้ว"

"คุณป้าจะต้องเปิดใจก่อนนะคะ" อาจารย์เริ่มพูดคุย ป้าสุดาพยักหน้ารับ

"ระหว่างที่หนูสวด...คุณป้าท่อง นะ โม พุท ธา ยะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้อง นะ โม พุท ธา ยะ เท่านั้นนะคะ"


อาจารย์เริ่มสวดอักขระ คุณป้าเริ่มสวดนะ โม พุท ธา ยะ ตามคลอกันไป โดยจะมีบางคราวที่คุณป้ามีอาการกระตุก ๆ นัยน์ตาเริ่มขวางอีก ฝั่งอาจารย์ที่ร่างเล็กก็สวดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน เต็มไปด้วยพลัง ข่ม ยื้อกันอย่างนี้ราว ๒๐ นาที


ก่อนที่คุณป้าจะผล็อยหลับ เมื่อตื่นฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้ อาจารย์บอกคุณป้าให้นำขันทั้ง ๓ ใบนี้ไปลอยน้ำก่อนตะวันตกดิน ส่วนดวงวิญญาณ ๗-๘ ตนนั้น เขาตามผ้าไตรจีวรผืนตรงหน้าไปเกิดตามภพภูมิของเขาแล้ว ต่อไปนี้ทุกคนในบ้านจะได้อยู่อย่างสบายกายสบายใจเสียที ทั้งนี้เมื่อเสร็จจากพิธีกรรม ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สมองโล่งปลอดโปร่ง รู้สึกสบายใจ

กลับมาที่คุณป้าสุดา เธอรีบขอตัวนำขันขึ้นแท็กซี่ไปลอบที่ท่าน้ำ จ.นนท์ เพราะดวงตะวันเริ่มบ่ายคล้อยแล้ว ก่อนจากกันอาจารย์เอ่ยเพียง สั้น ๆ กับลูกศิษย์ทุกคนว่า


"เราเป็นคนพุทธ พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ไม่ให้เชื่อเรื่องผีสาง หรือหวังอะไรที่เป็นทางลัดนอกจากความเพียร ความเพียรเท่านั้นที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต"......... ✎





โดย ร. เรืองคีตะ ที่มา : นิตยสารผี ประจำวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ - ๑ เมษายน ๒๕๖๐, หน้า ๑๑-๑๓. ภาพ http://img.prapayneethai.com/…/rite/north/thnrit12202/02.jpg

Comments


Join my mailing list

© 2023 by The Book Lover. Proudly created with Wix.com

bottom of page