✎ ไปธุดงค์
- Hathairat Traithip
- 13 ม.ค. 2561
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 มี.ค. 2561

ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนอื่นตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่คนอื่นที่ว่านี้ คือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ผู้เขียนเคารพนับถือจึงแน่ใจว่าสิ่งที่ท่านเล่านี้เป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่รู้ว่าท่านจะเอาเรื่องไม่จริงมาเล่าทำไม ปกติท่านก็ไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุยอยู่แล้ว วันนั้นจำไม่ได้แล้วว่า พูดคุยด้วยเรื่องอะไร แต่อยู่ ๆ ท่านก็รับรองแข็งขันว่าผีนั้นมีจริง "เจอมาแล้ว ปีแรกที่บวช" ท่านเริ่มต้นเล่า เราก็หูผึ่ง โธ่..เรื่องผี ๆ ใครไม่อยากฟัง
ท่านบอกว่าปีแรกที่บวชนั้นตามประสาพระใหม่ครูบาใหม่ พออยู่วัดได้ครบพรรษา รับกฐินเสร็จแล้วก็แต่งบาตร คำว่าแต่งบาตรนี้เป็นศัพท์เฉพาะพระ หมายถึงตระเตรียมข้าวของที่มีอยู่ไม่กี่อย่างรวมลงในบาตร ซึ่งบาตรของพระวัดป่านั้นใบใหญ่มาก จุของได้หลายอย่าง มีลักษณะการใช้งานคล้ายเป้เดินทาง ยิ่งเมื่อใส่ลงในยามสะพายบาตรด้วยแล้วยิ่งจุของได้หลายอย่าง พระจะแต่งบาตรทุกครั้งที่จะเดินทาง แน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือบาตรเพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต เปรียบเหมือนเงินหรือบัตรเครดิตในทางโลก ส่วนของใช้อื่น ๆ จะเอาไปอย่างละเล็กละน้อยไม่ให้เป็นภาระมาก มีไม้ขีด เทียนไข สบู่ ยาสีฟัน และที่สำคัญพอ ๆ กับบาตรก็คือความเข้มแข็งของจิตใจ
ครูบาวีก็เช่นเดียวกันพอบวชครบพรรษาได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์พอสมควรแล้ว ก็แต่บาตรเตรียมออกธุดงค์ ว่ากันว่าอีกเหมือนกัน สำหรับผู้ที่แน่ใจว่าจะบวชต่อไม่คิดสึกออกไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลก การออกธุดงค์มักจะเป็นการออกไปเพื่อท่องปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นกฎระเบียบข้อกฎหมายของพระ ในขณะเดียวกันก็ออกไปทดสอบความเก่งกล้าสามารถและฝึกวิปัสสนาสมาธิตามที่ได้รับรู้รับฟังจากพระรุ่นพี่หรือพระอาจารย์ การออกธุดงค์ลักษณะนี้บางคนจะออกไปเป็นคู่ แต่มีไม่น้อยที่ออกไปเพียงองค์เดียวรูปเดียวเพื่อทดสอบจิตของตัวเอง เรียกว่าร้อนวิชากันจริง ๆ อย่างเช่นครูบาวี
คราวนั้นครูบาเดินทางด้วยเท้าจากอุดรธานีบ้านเกิดลัดเลาะหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ เป้าหมายมุ่งหน้าไปทางสกลนคร ดินแดนของพระอริยะ คืนแรกพักแรมที่วัดร้างห่างหมู่บ้าน พอตื่นเช้าก็ออกบิณฑบาตพอได้ฉัน และเมื่อฉันเสร็จแล้วก็เดินลัดทุ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งล่วงเช้าคืนที่สาม ตะวันกำลังจะลับฟ้าขณะเดินเข้าใกล้หมู่บ้าน ครูบามองเห็นป่าทึบอยู่ข้างหน้าจึงตัดสินใจพักแรมที่ชายป่านี้ ก่อนจะเข้าใกล้หมู่บ้านไปเกินกว่าข้อวัตรกำหนด พระธุดงค์นั้นตามหลักการต้องพักห่างหมู่บ้านเกินกว่าเสียงไก่ขัน ครูบาวีท่านเป็นพระบวชใหม่จึงเคร่งครัดในวินัย
ขณะที่เดินเข้าใกล้ชายป่านั้น สวนทางกับชาวบ้านกลุ่มใหญ่ บางคนหน้าตาเศร้าหมอง ไม่พูดจาอะไร จึงคิดได้ในทันทีว่าป่าทึบที่เห็นเบื้องหน้านี้คงจะเป็นดอนปู่ตาซึ่งเป็นป่าช้าประจำหมู่บ้าน และชาวบ้านกลุ่มนี้คงเพิ่งจะหามศพมาทิ้งไว้ในป่าช้า ความรู้สึกแรกที่นึกได้ครูบาเล่าว่า ขนลุกซู่ไปทั้งตัวด้วยความที่เป็นคนกลัวผีมาตั้งแต่เด็ก แม้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้เดินทางไปทำงานไกลบ้านในหลาย ๆ ประเทศมาแล้ว ความกลัวนั้นก็ยังคงอยู่ และเพราะความกลัวผีนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้ครูบาบวช ท่านเล่าว่า บวชเพื่อดัดสันดานกิเลสตัวเอง แล้วการเดินธุดงค์เป็นการตัดสันดานกิเลสได้ดีจริง ๆ โดยเฉพาะในคืนนี้ ชาวบ้านที่เดินสวนออกไปไม่มีใครพูดจาเลยสักคน พอมองเห็นว่าเป็นพระแล้วก็ต่างคนต่างเดินก้มหน้าออกไปอย่างเร่งรีบ ครูบาก็เลยต้องทำตัวเดินสำรวมแบบพระเข้าไปในป่านั้น ที่ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าคือ ป่าช้า
เมื่อเดินเข้าไปมองเห็นศาลาเล็ก ๆ คงเป็นศาลาที่ชาวบ้านมาสร้างไว้ง่าย ๆ เพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เหมือนกับจะมีใครอยู่ในนั้น พอเดินเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นแม่ชีที่เก็บบริขารเสร็จแล้ว และกำลังเดินสวนออกมา แม่ชีเองก็ก้มหน้างุด ๆ เดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งไม่พูดไม่จาอะไร ครูบายืนนิ่งอยู่หน้าศาลาใจหนึ่งนึกว่า ถ้าเห็นศพวางอยู่ จะกล้าพอที่จะใช้เพ่งอสุภะหรือเปล่า
เพ่งอสุภะหมายถึง พิจารณาธรรมดาซากศพ แต่นั่นแหละสมัยนี้คงไม่มีใครวางศพทิ้งไว้โดยไม่ฝังหรือเผา จึงมองเลยไปที่เมรุไม่มีร่องรอยเถ้าถ่าน บางทีเขาอาจจะฝังกลบเรียบร้อยแล้ว "ฝัง" ครูบานึกได้ในทันที ถ้าฝังก็ต้องเป็นผีหายโหงน่ะสิ ความรู้สึกเย็นเยือกขึ้นอย่างยอมรับกับตัวเองว่าหวาดกลัว จึงพยายามสำรวมจิต กลัว...รู้อยู่ว่ากลัว แต่มาที่นี่ก็เพื่อดัดสันดานกิเลสและฝึกอบรมจิตให้เข้มแข็ง จะยอมแพ้ถอยร่นออกไปได้อย่างไร แล้วอีกอย่างชาวบ้านที่สวนทางออกไปก็มองเห็นกันจนทั่ แถมแม่ชีอีก ถ้ากลับออกไปก็ดูจะเสียชื่อพระป่า พระธุดงค์ที่ชาวบ้านมักคิดว่าเก่งกาจและมีเวทมนต์คาถา
ครูบารวบรวมสติ ก่อนจะก้าวเดินขึ้นไปบนศาลา พื้นศาลาทำด้วยไม้ดูง่อนแง่น บางส่วนตะปูถอนออกแล้ว เวลาเดินเกิดเสียงดังออดแอด ฝาผนังก็ไม่มีดูโปร่งโล่ง รวมทั้งหลังคาก็ดูเปิดเปิงมองเห็นต้นไม้กิ่งไม้ที่คลุมอยู่ไม่น่าจะกันลมกันฝนอะไรได้ โชคดีอยู่บ้างที่พื้นสะอาดไม่ต้องปัดกวาดใหม่คิดว่าแม่ชีคนนั้นคงปักกลดอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว พอเขาหามศพเข้ามาฝังแม่ชีจึงได้กลับออกไป "แล้วเราล่ะ" ครูบาถามตัวเองก่อนจะปลดสัมภาระทั้งกลดทั้งย่ามลงบนพื้นศาลา เวลาและแสงตะวันไม่ปล่อยให้คิดอะไรได้นานนัก โดยเฉพาะในป่าทึบอย่างนี้ จึงมองหาที่ปักกลาดกลางมุ้งอย่างน้อยจะต้องมีที่ปลอดภัยจากยุงและแมลง และที่สำคัญวันนี้วันพระเป็นวันที่ครูบาตั้งใจจะถือเนสัชชิ
การถือเนสัชชิคือการตั้งจิตที่จะไม่นอนหรือเอนหลังพิงสิ่งใด เรียกว่าต้องกำหนดจิตทำสมาธิภาวนาอยู่ในท่านั่ง เดิน หรือยืนเท่านั้น จนกว่าจะรุ่งสางถือกันว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะได้บุญได้กุศลค่อนข้างมาก เป็นบุญที่จะพอกพูนให้พระบวชใหม่อย่างครูบาไต่เต้าเข้าสู่การบำเพ็ยเพียรได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้ กางกลดกางมุ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วฟ้ารอบด้านก็มืดพอดี จึงใช้น้ำในกระติกล้างมือล้างเท้าตามข้อวัตรแล้วมุดเข้าไปในกลดเพื่อหนียุงในตอนหัวค่ำ ตั้งใจจะนั่งสมาธิภาวนากำหนดลมหายใจอยู่สักครึ่งคืนก่อน แล้วจึงจะออกมาเดินจงกรม ซึ่งก็เดินที่ลานดินด้านหน้าศาลานั่นเอง พอมุดเข้าไปในกลดเหน็บมุ้งให้เรียบร้อยแล้วก็สวดมนต์ทำว้ตรเย็น เสร็จแล้วจึงนัดขัดสมาธิวางบาตรไว้ตรงหน้า คิดว่าถ้าเหน็ดเหนื่อยและง่วงมาก ๆ จะอาศัยฟุบลงบนฝาบาตรนี้ หลังจากนั้นก็ตั้งจิตกำหนดลมหายใจเข้าออก รำลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ตัวเองอุทิศกายและใจให้
ครูบาเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ว่าขณะที่กำหนดลมหายใจเข้าออกนั้น จิตยังไม่นิ่งดีด้วยซ้ำ ความรู้สึกประหลาดก็เกิดขึ้นในเสี้ยวของอึดใจนั้น ปกติตามป่าตามเขาจะมีเสียงต่าง ๆ แทรกอยู่ไม่ว่าจะเป็นจักจั่นเรไร หรือเสียงสัตว์กลางคืน ทั้งนกหนูและแมลงกรีดปีกซึ่งเป็นเสียงธรรมชาติของป่า
แต่ในบัดนั้นทุกอย่างที่อยู่รอบข้างเงียบสงัดในทันที เงียบเหมือนตกอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง เหมือนหูนั้นดับมิดไป ความเงียบเกิดขึ้นทันทีทันใดพร้อมขนลุกซู่ ๆ จนถึงยอดกระหม่อม และที่ร้ายกาจกว่านั้น ก่อนที่จะคิดว่าอะไรเกิดขึ้น มีมือประหลาดตรงเข้ามาขยุ้มเอวทางเบื้องขวาแล้วบิดอย่างแรง คาดว่ามืนนั้นคงยื่นผ่านมุ้งเข้ามา เพราะไม่น่าจะมีใครอยู่ในมุ้ง
ในวินาทีนั้นครูบาเล่าว่าเหมือนโลกทั้งโลกแตกสลาย ร่างกายนั้นคล้ายกับแตกกระจายออกไปจนหมดมันหวิววาบแล้วหายไปไม่รู้สึกว่ามีกายเหลืออยู่ การกำหนดลมหายใจก็ลืมหมด แม้กระทั่งคำพุทโธที่บริกรรมทุกอย่างคล้ายจะหายไปกับความหวาดกลัวที่ท่วมท้น ในตอนนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือความรู้สึกคล้ายแสงสว่างเท่าปลายเข็มหมุดดำดิ่งนิ่งลึกอยู่ตรงหน้า ครูบาเล่าซ้ำว่าเป็นความกลัวที่ทำให้กายหายไปจนหมด ที่เห็นเล็กเท่าปลายเข็มหมุดนั้น คิดว่าคงเป็นจิตของเราที่คงอยู่ "แต่แหม..." ครูบาลากเสียง
"มันกลัวจนลืมหมดทุกอย่างแม้กระทั่งพุทโธ แล้วที่มากกว่านั้น..." ท่านเล่าต่อว่า ลมข้างนอกเริ่มปั่นป่วนพร้อม ๆ กับมีมือประหลาดมาขยุ้มบั้นเอว ต้นไม้กิ่งไม้ถูกลมตีฟาดไปมา หลังคาศาลาที่พังอยู่แล้วทำท่าจะพังลงไปอีก ต้นไม้ใหญ่น้อยก็เหมือนกัน เหมือนมีกิ่งไม้หักโครมครามปั่นป่วนไปหมดทั้งป่า ขณะนั้นครูบาได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าลืมตา ๆ ลมที่ว่านั้นพัดมุ้งและกลดเปิดเปิง รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างวูบไหวผ่านหน้าไปมาเหมือนยั่วยุ
ครูบาเล่าว่าเหตุการณ์ลมปั่นป่วนและมีสิ่งลึกลับวูบไหวผ่านไปมานั้นนานมาก นานจนเริ่มมีสติ สติแรกที่บอกตัวเองก็คือห้ามลืมตา และห้ามลุกออกจากที่ เพราะเคยได้ยินมาว่าถ้าเราลืมตาจะเห็นสิ่งไม่ดีและน่ากลัวซึ่งจะทำให้สติแตก แล้วจะวิ่งหนีจนลืมชีวิต บางคนว่ายแถกไถไปมาอยู่พื้นดินด้วยสำคัญว่าเป็นน้ำ บางคนร้องคลั่งเหมือนคนบ้า ครูบาบอกว่ากลัวแสนกลัวอย่างไรก็ต้องคุมสติไว้ให้ได้ก่อน ลมที่ปั่นป่วนอยู่ในป่านั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ส่วนมือที่มาขยุ้มด้านหลังนั้นปล่อยวางไปแล้ว เหลือแต่เสียงลมและวัตถุประหลาดวูบไหวผ่านหน้าไปมา รู้สึกเหมือนมุ้งและกลดจะเปิดเปิง เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ครูบาเริ่มมีสติขึ้นจึงได้ภาวนาพุทโธกำหนดจิตอธิษฐานไปว่า ตัวเองเป็นเพียงพระผู้น้อยไม่มีอิทธิฤทธิ์อันใดแวะผ่านมาขอพักพิงเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาตามรอยพระพุทธองค์
ถ้าแม้นผู้ที่ทำอิทธิฤทธิ์อยู่นี้เคยมีเวรมีกรรมกันมาก่อน และตัวเองเคยก่อร่างสร้างเวรที่ต้องชดใช้กันด้วยชีวิต ก็จงโปรดเอาชีวิตไปเลย แต่ถ้าไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกัน ก็ขอได้โปรดเว้นที่ทางให้พระผู้น้อยได้นั่งสมาธิภาวนาปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร และภูตผีปีศาจรวมทั้งผู้สำแดงฤทธิ์เดชอยู่นี้
ครูบาเล่าว่าได้กำหนดจิตอธิษฐานอยู่ถึงสองครั้งก่อนจะภาวนาพุทโธสำรวมจิตต่อไปเรื่อย ๆ ไม่นานเท่าใดนักลมพายุก็ค่อย ๆ สงบลง และเมื่อพายุสงบเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่สรรพเสียงต่าง ๆ ในป่าเริ่มมีชีวิตขึ้นมาอีก ครูบาจึงค่อย ๆ ลืมตาและเป็นที่อัศจรรย์จริง ๆ ที่ชายมุ้งที่เหน็บไว้เรียบร้อยก่อนจะนั่งสมาธินั้นหลุดลุ่ยออกมา มองเห็นได้ในความมืด ท่านเล่าว่าพอเริ่มคลายความกลัวจึงได้รู้สึกว่าเนื้อตัวและผ้าที่ครองอยู่เปียกโชกไปด้วยน้ำ "ยางตายแตก" ท่านอธิบาย ยางตายน่าจะหมายถึง "เหงื่อกาฬ" ท่านบอกว่ามันเปียกโชกและเหียวหนึบไปหมดทั้งตัว "ดีที่ไม่ได้ลืมตา ป่านนี้สติแตกไปแล้ว" ครูบาเล่าต่อว่า หลังจากนั้นก็รู้สึกโปร่งโล่งเบาไปหมดทั้งตัว เหมือนยกภูเขาออกไปไม่ปาน ความกลัวที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นหายไปหมด และตั้งแต่บัดนั้นมาเช่นกันที่ท่านไม่กลัวผีอีกเลย เรียกว่าได้เผชิญหน้ากับฤทธิ์เดชของผีอย่างนี้แล้ว ความกลัวที่เคยมีหายไปหมด
ท่านหยิบนาฬิกาจากย่ามขึ้นมาดู ปรากฏเป็นเวลาสี่ทุ่ม ระยะเวลาที่ผีตนนั้นสำแดงยาวนานหลายชั่วโมง เพราะตอนที่เข้าไปในกลดนั้นอย่างเก่งก็คงสักหนึ่งทุ่ม ครูบานึกดีใจอยู่คนเดียว่าที่สู้รบกับผีมาได้ก็เพราะสติ สติที่ทำให้ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
ครูบานั่งสำรวมคิดโน่นคิดนี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมุดมุ้งออกมา ในป่ายังมืดสนิทแต่ในความมืดนั้นพอจะมองเห็นเงาใบไม้วูบไหวสลัวราง ท่านมองเห็นกิ่งไม้และใบไม้รกเต็มลาน เหมือนเพิ่งผ่านพายุมาจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนมาถึงทีแรกดูโล่งเตียน นึกอัศจรรย์ใจตัวเองที่กล้ามาปักกลดอยู่ในป่าช้าเพียงผู้เดียวท่านมองออกไปยังลานดิน ปัดกวาดสักหน่อยคงพอเดินจงกรมได้ ความยาวก็เพียงพอสักยี่สิบก้าวพอดี คิดเช่นนั้นจึงหากิ่งไม้ปักทางจงกรมไปมาเอาแค่พอเดินได้
จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งสวดมนต์และสมาทานกรรมฐานเพื่อที่จะเดินจงกรม คราวนี้ครูบาบอกว่าสามารถเดินจงกรมไปมาโดยไม่ต้องจุดเทียนจุดไฟให้แสงสว่างอันใดเลย สายตาก็ดูจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนหมดแม้ในความมืด พื้นดินก็ดูขาวโพลนลอยเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด คืนนั้นครูบาเดินจงกรมทั้งคืน พอเหนื่อยก็หยุดพักพิจารณาจิตตัวเองพอหายเหนื่อยก็เดินต่อ จนกระทั่งฟ้าสางเป็นวันพระที่ท่านถือเนสัชชิได้ดังตั้งใจ และเป็นวันที่ท่านพิชิตความกลัวที่เป็นกิเลสเกาะติดหัวใจมาเนิ่นนานได้สำเร็จ "แต่นั่นแหละครั้งเดียวก็พอ" ครูบาสารภาพ
ท่านบอกว่าเป็นความผิดของเราเองที่ไปเพ่นพ่านในที่ของเขา รู้ทั้งรู้ว่าป่าช้ายังเข้าไป แล้วผีก็มีหลายประเภท ทั้งผีผู้ดี ผีเกเร "ตอนเป็นคนมีนิสัยอย่างไร ตอนเป็นผีก็มีนิสัยอย่างนั้น" ครูบาอธิบาย
เช้าวันนั้นยังไม่ทันที่ครูบาจะเตรียมตัวออกไปบิณฑบาต พอฟ้าสางกว่าเดิมเล็กน้อย ชาวบ้านห้าหกคนก็เดินถือปิ่นโตออกมาเอง คนพวกนั้นบอกว่านั่งฟังเสียงครูบาอยู่ทั้งคืนอยู่เหมือนกัน "สิงห์ซิ่งมอเตอร์ไซสด์ เพิ่งตายเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ไปแหกโค้งที่ถนนหลวงข้างนอก" ชาวบ้านเล่ารายละเอียดเขาบอกต่อด้วยว่า ตอนเป็นคนก็เกะกะเกเร ตายแล้วคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตาย จึงได้อาละวาดไปทั่วเนื้อตัวเละเทะ คอหักหมุนได้เป็นเกลียว "ท่านจะใช้ศพปลงอสุภะหรือเปล่า ขุดขึ้นมาได้นะครับ ตอนนี้คงเน่ากำลังกำลังดี" คนพูดดูจะเคยบวชมาก่อนจึงได้รู้ดี ครูบาเล่าว่าชาวบ้านศรัทธาครูบามากคิดว่าคงมีของดีในตัวจึงได้เอา "ไอ้ซ่า" อยู่หมัด
"ความจริงมันหลอกใครต่อใครในบ้านมาแล้ว ก่อนจะหามศพออกมาทิ้งที่นี่ แม่ชีที่ว่าแน่ ๆ ก็หนีไกล" เขาเล่าก่อนจะนิมนต์ให้ครูบาอยู่ต่อ โดยรับปากจะซ่อมแซมศาลาให้ ครูบาได้แต่ยิ้มและกล่าวขอบใจในความเอื้อเฟื้อ เช้าวันนั้นครูบาฉันข้าวฉลองศรัทธาที่ชาวบ้านนำมาถวายจนอิ่มแปร้สมกับที่หวาดกลัวมาทั้งคืน แล้วจึงพูดคุยกันต่อถึงเรื่องอื่น ๆ โดยไม่ยอมเล่าถึงความหวาดกลัวแทบเอาชีวิตไม่รอดของตัวเอง
"ถ้าเล่าก็เสียพระไปเลยสินะ" ครูบาท่านพูดติดตลกในตอนท้าย "แล้วคณูบาอยู่ต่อหรือเปล่าล่ะคะ" เราถามข้อข้องใจ "โอ๊ย..ไม่เอาอีกแล้ว" ครูบาทำทีร้องเสียงดัง "แต่ไม่ได้กลัวเลยนะ เพียงแต่ว่าตรงนั้นมันเป็นที่ทางของเขาเราไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย" ครูบาเล่าต่อว่าหลังจากนั้นไม่เคยไปพักแรมอยู่ในป่าช้าอีกเลย "สู้ในป่าเขาหรือตามถ้ำไม่ได้ เงียบสงบ ร่มเย็น มีเทพและเทวดามาปกปักรักษาเราเต็มไปหมด" ท่านพูดทิ้งท้ายเหมือนรู้ว่าเราชอบนักที่จะฟังเรื่องราวแบบนี้…../ ✎

Cr. นงลักษณ์ 2
ที่มา : ต่วยตูนพิเศษเดือนตุลาคม 2543.
Comments