✎ ผีโขมดที่หนองบอน
- Hathairat Traithip
- 13 ม.ค. 2561
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 มี.ค. 2561

เมื่อ ๗๐ กว่าปีก่อนโน้น ถ้าเอ่ยถึงหนองบอนแล้วผู้คนแถวบ้านแค คลองเล็ก บ้านหน้าไม้ และบ้านพระขาวซึ่งยู่ตรงพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอบางไทรกับอำเภอบางบาล จ. พระนครศรีอยุธยาต้องรู้จักกันดี เพราะหนองบอนเป็นหนองน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางท้องทุ่งกว้างและเกือบจะเป็นจุดศูนย์กลางของสี่หมู่บ้านดังกล่าว ถ้าไปยืนอยู่กลางหนองบอนมองผ่านทุ่งโล่งไปทางทิศเหนือ ที่เห็นหมู่บ้านเรียงรายอยู่ในหมู่ไม้ไกลลิบ ๆ นั้นคือบ้านพระขาว มองไปทางทิศตะวันออกช่วงระยะทางใกล้เคียงกันคือคลองเล็ก ทางตะวันตกเห็นทิวไม้เป็นพืดสีเทาคือบ้านหน้าไม้ และทางทิศใต้เป็นหมู่บ้านใกล้หน่อยพอมองเห็นฝูงควายเดินเล็มหย้าตัวสักเท่ากำปั้น นั่นคือบ้านแค บ้านเกิดผม (ผู้เขียน) เอง
โดยปกติทั่วท้องทุ่งกว้างใหญ่ในหน้าแล้งอากาศร้อนอบอ้าวมาก พื้นดินแตกระแหง นาแต่ละแปลงเหลือแต่ตอซังข้าวที่บางแห่งก็ถูกเผาเป็นขี้เถ้าฟุ้งกระจายไปทั่วเมื่อถูกแรงลม ยิ่งเวลาใกล้เที่ยงวันจะเห็นเปลวแดดเป็นตัวเต้นระยิบ ถึงเวลานั้นบรรดาวัวควายทั้งหลายพร้อมด้วยเด็กที่นำมันมาเลี้ยงหาหญ้ากินกลางทุ่งไม่ว่าจะมาจากหมู่บ้านไหนก็จะบ่ายหน้าไปสู่หนองบอน เพราะที่นั่นเป็นที่เดียวที่พอจะพักพิงบรรเทาความอบอ้าวของไอแดดได้ ที่นั่นมีน้ำให้ทั้งคนและวัวควายได้อาศัยดื่มกินแก้กระหาย มีปลักโคลนให้วัวควายลงไปนอนแช่ร่างบดเอื้องเล่น มีต้นไม้ย่อม ๆ ตามขอบหนองพอให้เด็กเลี้ยงควายได้อาศัยร่มเงานอนพักผ่อนเอาแรงบ้าง ใช้ฝาหอยโข่งเล่นหยอดหลุมทอยกองกันบ้าง แล้วแต่จะหาความสนุกตามประสาเด็กบ้านทุ่งจนกระทั่งใกล้ค่ำต่างคนต่างก็ต้อนฝูงวัวควายของตัวกลับบ้าน บ้านใครก็บ้านมันเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา
หนองบอนคงจะได้ชื่อมาจากสภาพของหนองน้ำที่มีต้นบอนขึ้นอยู่เต็มไปหมด เป็นหนองน้ำที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่มากกินเนื้อ
ที่นับสิบไร่ มีน้ำตลอดปี ในฤดูฝนเมื่อฝนตกในทุ่ง น้ำฝนที่เหลือจากซึมซับลงไปในดินจากทุกทิศทุกทางก็จะไหลไปสู่หนองบอนซึ่งเป็นเสมือนแอ่งใหญ่รองรับพร้อมกับชะผิวดินพาทุกสิ่งทุกอย่างประดามีในท้องทุ่ง ทั้งเศษซังข้าว ขี้เถ้าจากซังที่ถูกเผา ซากนกหนู มูลวัยควายและบางทีอาจรวมทั้งมูลคนเลี้ยงไปรวมไว้ในหนองบอนกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงบำรุงให้ต้นบอนเจริญงอกงามแพร่พันธุ์ขยายจนเต็มไปทั้งหนอง นอกจากจะอุดมไปด้วยต้นบอนแล้ว หนองบอนยังมีปลาน้ำจืดนานาชนิดชุกชุมมาก เพราะในหน้าน้ำ น้ำจะท่วมทุ่งนาแถบนั้น อาจจะมากบ้างน้อยบ้างตามปริมาณของน้ำเหนือที่ไหลหลากลงมา แต่ก็ท่วมทุกปี เมื่อน้ำล้นฝั่งไหลเข้าไปในทุ่งบรรดาปลาทั้งหลายจากแม่น้ำก็แหวกว่ายตามกระแสน้ำเข้าไปไล่ล่าตั๊กแตนและแมลงเล็ก ๆ ที่เกาะหากินอยู่ตามกอข้าวในนาเจิ่งน้ำ น้ำท่วมอยู่สามสี่เดือนก็ลดแต่ไม่ลดฮวบฮาบชนิดคืนเดียวแห้ง หากแต่จะลดลงทีละน้อย ๆ วันละนิ้วครึ่งนิ้วจนปลาไม่รู้สึกคงหากินเพลินอยู่ จนพื้นดินส่วนที่เป็นที่ดอนโดยรอบขอบทุ่งโผล่พ้นน้ำ จึงหมดโอกาสที่จะกลับลงแม่น้ำ ปลาเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องว่ายตาม
น้ำที่ยังพอมีในที่ลุ่มไปเรื่อย ๆ ที่สุดก็ไปตกคลั่กอยู่ในหนองบอน พอน้ำลดชาวบ้านต่างก็ขนเครื่องมือประมงสารพัดทั้
งเฝือกลอบ แห ยอ สุ่ม ช้อน บรรดามีไปจับปลากันเป็นที่เอิกเกริก แต่ถึงจะจับอย่างไรปลาก็ไม่มีวันหมด เพราะหนองบอบนั้นนอกจากจะกว้างใหญ่ไพศาลแล้วยังเต็มไปด้วยต้นบอนและพันธุ์พืชไม้น้ำนานาชนิด จึงพอเป็นที่อาศัยหลบซ่อนหลีกลี้เอาชีวิตรอดเหลืออยู่บ้างไม่ถึงกับสูญพันธุ์ แถมยังออกลูกหลานเติบโตขยายพันธุ์ต่อไปอีก อีกทั้งยังรอรับปลาเคราะห์ร้ายน้องใหม่ที่จะหลวมตัวหลงว่ายตามน้ำหลากเข้ามาในทุ่งจนสุดท้ายไปตกคลั่กอยู่ในหนองบอนให้ผู้คนมาจับเหมือนกับรุ่นพี่ เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ทุก ๆ ปีเรื่อยมา
หนองบอนคงเป็นหนองน้ำใหญ่กลางทุ่งกว้าง เป็นแหล่งทำมาหากินของเหล่ามัจฉาชีพคือผู้ที่ม่อาชีพหาปลาไปลงเบ็ดทอดแหสุ่มช้อนตามถนัด และเป็นที่พักร้อนของบรรดาวัวควายและเด็กเลี้ยงควายเป็นปกติสุขสืบมาจนกระทั่งหน้าแล้งของปีหนึ่ง ความสุขที่เคยมีมานานก็ถึงกาลไม่เป็นปกติอีกต่อไปเมื่อมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งสี่หมู่บ้านรอบ ๆ หนองบอนว่า ณ บัดนี้มีคนเจอ "ผีโขมด" เข้าแล้ว แหล่งข่าวกล่าวว่า คืนหนึ่งมีนักลงเบ็ดนำเบ็ดปักคือเบ็ดคันย่อม ๆ ทำด้วยเรียวไผ่ยาวสักสองศอก มีสายเบ็ดยาวพอประมาณเกี่ยวเหยื่อลูกปลาเป็น ๆ หรือลูกกุ้ง บางทีก็ไส้เดือนนำไปปักเรียงรายไว้ตามขอบหนองเป็นระยะ ๆ จำนวนหลายสิบคัน คิดเป็นระยะทางจากเบ็ดคันแรกถึงคันสุดท้ายก็หลายเส้นอยู่ ปักเสร็จสรรพก็มานั่งในเพิงพักรอเวลากะว่าปลาเจ้ากรรมทั้งหลายควรจะมาฮุบเหยื่อและติดเบ็ดได้บ้างแล้ว ก็ถือคบเดินตรวจเบ็ดที่ปักไว้ทีละคันซึ่งภาษาชาวบ้านเรียกว่าระเบ็ด ถ้าพบว่ามีปลาติดเบ็ดคันใดก็ปลดปลาใส่ข้องที่สะพายอยู่แล้วเกี่ยวเหยื่อไว้ใหม่ เดินระเบ็ดไปจนครบทุกคันแล้วก็กลับมาพักที่เพิงเสียครั้งหนึ่ง นอนรอเวลาที่ออกไประเบ็ดครั้งต่อไป ปกติจะทำอย่างนี้เรื่อยไปจนรุ่งเช้าก็กู้เบ็ดพร้อมรวบรวมปลาที่หาได้กลับบ้าน แหล่งข่าวเล่าต่อไปว่า นักปักเบ็ดคนนั้นเดินระเบ็ดไปในเที่ยวหนึ่งซึ่งเวลานั้นดึกมากแล้ว ขณะที่ใกล้จะถึงเบ็ดคันสุดท้ายก็ประจันหน้ากับผีโขมดเข้าอย่างจังเมื่อปุบปับมันโผล่พรวดขึ้นมาจากใต้น้ำไม่ห่างจากที่เขาเดินอยู่เท่าไรนัก เขาว่าเขาเห็นแวบเดียวว่ารูปร่างของมันเหมือนคนสูงใหญ่กำยำ ผิวดำมะเมื่อมเป็นมันปลาบเพราะเปียกโคลน ที่เห็นชัดคือบนหัวมีดวงไฟลุกโพลง ส่วนรายละเอียดอื่นใดไม่แจ้งเพราะทันที่เห็นก็หันหลังวิ่งโกยอ้าวกลับบ้าน เบ็ดเบิ่ดไม่ระมันแล้ว
ข่าวดังกล่าวสร้างความหวาดหวั่นขวัญสยองให้แก่ผู้ที่มีชีวิตผูกพันอยู่กับหนองบอนเป็นอันมาก โดยเฉพาะผู้ที่ถนัดหาปลาในเวลาค่ำคืน แต่สำหรับบรรดาเด็กเลี้ยงควายนั้นดูจะไม่สู้ปริวิตกในเรื่องนี้เท่าใดนัก เพราะยังคงต้อนควายไปกินน้ำและหลบพักร้อนที่หนองบอนเหมือนเดิม เพียงแต่พร้อมใจกันร่นเวลาต้อนควายกลับบ้านเสียตั้งแต่ยังหัววัน เปิดโอกาสที่จะเจอกับผีโขมดให้แก่นักหาปลาทั้งหลายแต่ฝ่ายเดียว แต่บรรดามัจฉาชีพเหล่านั้นก็ได้ชิงยกเลิกการไปหาปลาที่หนองบอนในตนอใกล้ค่ำ หรือตอนกลางคืนเป็นการถาวรเสียตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ข่าวเรื่องผีโขมดนั้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้มีผู้สนใจอยากจะพิสูจน์ว่าผีโขมดที่เล่าลือกันนั้นจะมีจริงหรือไม่ จึงได้รวบรวมผู้ที่มีแนวคิดเดียวกันลอบไปสังเกตการณืที่หนองบอนในเวลากลางคืนหลายกลุ่มและหลายครั้ง โดยแต่ละกลุ่มแต่ละครั้งล้วนแต่ไปเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ทิ้งระยะทางให้อยู่ในวิสัยที่จะเผ่นได้ทันหากเจอของจริง ซึ่งมีบางกลุ่มยืนยันว่าได้เห็นแสงไฟลุกโพลงขึ้นในหนองบอนจริง ๆ เพียงแต่ไม่เห็นรูปร่างใต้แสงไฟนั้นว่าเป็นอะไร เพราะอยู่ไกลเกินควร แต่บางกลุ่มซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วยืนยันเหมือนกันว่าไม่เคยได้เห็นอะไรเลยนอกจากหิ่งห้อยนับร้อยนับพันที่บินส่องแสงแวบวับไปทั่งทั้งท้องทุ่งนา
หลังจากลือกันไปกันมาก็มีผู้รู้ท่านหนึ่งซึ่งเป็นครูโรงเรียนประชาบาลในตำบลบ้านผมได้ให้อรรถาธิบายว่าไม่ใช่ผีโขมดอะไรหรอก อันเปลวไฟที่เห็นลุกโพลงขึ้นนั้นเป็นเพียงแก๊สที่เกิดลุกไหม้ขึ้นมาเท่านั้นเอง ซึ่งนึก ๆ ดูก็น่าจะเป็นจริงอย่างที่คุณครูท่านว่า เพราะหนองบอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าถือกำเนิดมานานเท่าใด ขนาดคนรุ่นผมซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่อายุเลยครึ่งร้อยไปนานแล้ว ตั้งแต่เกิดมาพอจำความได้ก็ได้ยินชื่อหนองบอนแล้ว หนองบอนจึงอาจจะมีอายุเป็นร้อยหรือหลายร้อยปี สรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งซากพืชซากสัตว์และสารวัตถุสิ่งของประดามีที่ประดังประเดทับถมกันอยู่ก้นหนองบอนมานานเหลือเกินนั้นย่อมเป็นไปได้ที่จะเกิดแก๊สขึ้นมา ปัญหาหากจะมีก็อยู่ตรงที่ว่าแก๊สที่จะลุกโพลงขึ้นมานั้นน่าจะต้องได้รับการจุดขึ้น แล้วใครล่ะที่อุตริไปจุดมันให้ชาวบ้านเขาแตกตื่นตกใจเล่น และด้วยความที่เชื่อว่ามันก็น่าจะเป็นเช่นที่คุณครูท่านเล่ กลุ่มพวกเราก็เลยแอบไปชวนคุณครูท่านนั้นว่าคืนไหนว่าง ๆ ลองย่องไปพิสูจน์ให้เห็นดำเห็นแดง ให้รู้แล้วรู้รอดไปว่ามันเป็นเพียงแก๊สอย่างที่คุณครูว่า หรือเป็นผีโขมดอย่างที่ชาวบ้านเขาว่ากันแน่ ปรากฏว่าคุณครูท่านเห็นชอบด้วยอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าท่านไม่เคยว่างสักทีเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยที่สุดก็ทำเฉื่อยเฉยเสียอย่างนั้น ทำให้ผมกันพวกเกรงใจเลยจำต้องเฉยตามคุณครูท่านไปด้วย
ผีโขมดที่หนองบอนจึงยังคงเป็นปริศนาที่รอการไขและเป็นความหวั่นไหวของผู้คนในแถบนั้นเรื่อยมานมนานเต็มที่ จนกระทั่งเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ทางการได้สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นที่จังหวัดชัยนาท นับแต่นั้นมาระดับน้ำในแม่น้ำก็ไม่สูงพอที่จะไหลบ่าเข้าท่วมทุ่งนาพาเอาฝูงปลาไปรวมไว้ในหนองบอนให้อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม และแม้จะมีฝนตกลงมาเป็นครั้งคราว แต่เมื่อสายลมและแสงแดดที่แผดเผาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ทำให้น้ำในหนองบอนที่ก่อนหน้านั้นเคยเต็มอยู่เสมอลดระดับลงไปเรื่อย ๆ ไม่กี่ปีหนองบอนก็แห้งกลายสภาพเป็นนาลุ่มธรรมดา ๆ ไม่มีน้ำ ไม่มีปลา ไม่มีต้นบอน และแน่นอนไม่มีผีโขมดปรากฏกายหรือเปล่งเปลวไฟลุกโพลงให้ใครได้เห็นอีกต่อไป เหลือไว้แต่เรื่องผีโขมดที่หนองบอนให้ผู้คนรุ่นเก่าเล่าขานสู่ลูกหลานได้ฟังกันด้วยประการฉะนี้....... ✎
°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°°.•°•.★* *★ .•°•.°
โดย บุญสืบ ชื่นทรวง คอลัมน์เรื่องประหลาดไทย ที่มา : ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 20 ฉบับที่ 236 เดือนตุลาคม 2537, หน้า 5-7.
Comments